วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

13: กุฏิ...พ.สุรเตโช...ปีติสุข


พุทโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
ธัมโม เม นาโถ พระธรรมเป็นที่พึ่ง ของข้าพเจ้า
สังโฆ เม นาโถ พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

 
ภาพกุฏิ พ.สุรเตโช ที่พวกเราร่วมกันสร้างถวาย
เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา 14 สิงหาคม 2554
พุทโธ เม นาโถ ธัมโม เม นาโถ สังโฆ เม นาโถ
09:50 (14 ส.ค. 54)

นักรบธรรมร่วมชาติ
(09:51)


คุณพ่อของพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
(09:51)

ภาพเหตุการณ์อารมณ์ร่วม แห่งความปีติสุดๆ
ที่สื่อผ่านคำอธิษฐานของท่าน ดร.นนต์ส่งถึงเหล่านักรบธรรมทั้งหลาย

ดร.นนต์...19-08-2011, 01:31 PM
สภาวะแห่งความปีติสุดเกินที่พรรณาในบางเหตุการณ์นั้น ไม่มีอยู่ในสารบบของความนึกคิดใดๆมาก่อน เกินวิสัยของผู้คนทั่วไป หรือเกินวิสัยของผู้ยังไม่บรรลุธรรม ไม่มีอาการเสแสร้ง ไม่มีอาการปรุงแต่ง ไม่มีอาการของการอยากทำให้เกิด มันเป็นเอง เกิดเอง ตามเหตุแห่งบุญ ตามเหตุแห่งกาลเวลา ที่บังเกิดขึ้น

ในเช้าวันพระใหญ่ 15 ค่ำ เดือนเก้า ปี 2554 จะเป็นวันมงคลและจดจำสำหรับผมและเหล่านักรบธรรมที่รับรู้ร่วมกันกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ในเหตุการณ์แห่งความปีติในครั้งนี้ คือ ในขณะที่ผมก้มลงกราบพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมสัมพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ และพระธาตุของพ่อแม่ครูอาจารย์บนกุฏิของพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่นั้น ปรากฏจิตเกิดปีติและจิตรวมสงบ พร้อมกับแม่พระธรณีได้ดึงหน้าผากและมือผมไว้ติดแนบแน่นกับพื้นกุฏิ พยายามจะดึงขึ้นเท่าไรก็ไม่ได้ ยิ่งดึงหนักลงไปอีก ผมจึงโน้มจิตลงไปอธิษฐานต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์เจ้า และครูอาจารย์สืบต่อกันมาทุกพระองค์ เพื่อขอถอนสัจจะและสัญญาใดๆที่เป็นฝ่ายมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ในอดีตชาติทั้งหมด และขอยังไว้แต่สัจจะและสัญญาใดๆที่เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น ปรากฏว่าความปีติหลั่งไหลออกมาจนหาที่สุดมิได้ และเป็นที่สุดแห่งชีวิต ขณะเดียวกันแรงดึงดูดก็ยังไม่สิ้นสุดประหนึ่งว่า เรายังไม่เสร็จสิ้นวาระแห่งคำอธิษฐาน ในช่วงเวลานี้ พ่อแม่ครูอาจารย์รับรู้ในวาระแห่งกระแสจิตของผม ท่านจึงได้เอ่ยกับทุกคนว่า ผมกำลังอยู่ในอาการแห่งความปีติสูงสุด ทำให้คุณแม่ชมร้องไห้ไม่หยุด รวมทั้งเหล่านักรบธรรมก็อยู่ในอาการที่ไม่ต่างกัน ผมได้อธิษฐานจิตต่อไป โดยพรรณาถึงความปีติในการได้มีบุญบำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้นและเพื่อยังกิจสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว ระลึกถึงบุญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ได้มีการพรรณาถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อนธรรม เหล่านักรบธรรม จนบางครั้งสะอึกสะอื้น ไม่สามารถจะพรรณาต่อไปได้ ต้องหยุดตั้งจิตให้ผ่อนคลายความปีติไปสู่ความว่าง แต่ก็ทำอยู่ได้ไม่นาน สภาวะได้ดึงไปสู่ความปีติซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อไม่สามารถดึงศรีษะและมือถอนขึ้นมาได้ จิตระลึกรู้ตัวหนึ่งผุดขึ้นมาก็คือ โอ้หนอความหนักอึ้งของเราขณะนี้ เสมือนเป็นความหนักอึ้งของสรรพสัตว์ที่หนักด้วยกิเลสทั้งหลาย วนเวียนอยู่ในความทุกข์ไม่สิ้นสุด หากเราสามารถถอนความหนักอึ้งให้กับพวกเขาได้ เราควรจะต้องทำ และก่อนอื่นข้าพระพุทธเจ้าขอกระทำให้ตัวเองเบาจากกองกิเลสทั้งหลายทั้งมวลก่อน หลังจากนั้น ผมจึงได้อธิษฐานจิตขอบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในภพนี้และมีความปรารถนาอย่างล้นพ้นที่จะยังคงช่วยพ่อแม่ครูอาจารย์ จนกว่าพระองค์ท่านจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาแห่งความปีติที่เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหันแบบไม่ได้ตั้งใจหรือรู้ตัวมาก่อนนี้ มันช่างเป็นความสุขที่ยากจะอธิบายให้ใครทราบได้ แต่มันเป็นภาษาจิตที่เหล่านักรบธรรมและผู้ที่อยู่ในเหตุการรับรู้ในความปีติได้อย่างอัตโนมัติ นี้หนอความปีติสุขล้นแม้จะไม่ใช่การบรรลุธรรมชั้นสูง แต่มันก็อิ่มเอิบมาจนทุกวันนี้ แล้วการบรรลุอรหันตผลนั้น จะยิ่งใหญ่เพียงใด ผมไม่แปลกใจหรอกว่า ทำไมแผ่นดินจึงสั่นไหวไปหลายโลกธาตุ ผมอยู่ในอาการนี้ยาวนานนับสิบกว่านาที จึงอธิษฐานจิตขอถอนหน้าผากและมือขึ้นจากพื้น แต่ก็ค่อยพยุงขึ้นมาใช้แรงเต็มที่สามครั้งจึงสามารถถอนขึ้นมาได้ ตลอดเวลาก็นึกถึงบุญคุณของแม่พระธรณีที่มาเป็นพยานในครั้งนี้ บางอย่างผมไม่สามารถพูดออกอากาศได้ ผมรู้สึกว่าพระเบื้องบนและเทวดาท่านเสด็จมาอนุโมทนาในครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้น จิตอันปีตินี้ได้ดึงให้ผมเข้าไปก้มกราบบนเท้าของพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างนอบน้อมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นภาพอันปีติอีกภาพหนึ่งที่จะไม่ลืมเลือนไปทุกชาติภพ เรื่องราวและความกระจ่างทั้งหลายนั้น คงต้องถามพ่อแม่ครูอาจารย์ต่อไป สิ่งที่พบ ที่เห็น เพื่อเป็นสิ่งยืนยันให้กับบรรดาเหล่านักรบธรรม เช่นเดียวกับปาฏิหารย์ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในวันก่อนนั้น.... ผมสามารถเล่าได้แต่เพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องภายในส่วนตัวมิสามารถเล่าได้.... ก็ขออนุโมทนากับผู้ที่ร่วมอนุโมทนาด้วยทุกท่าน และขอให้ผู้ที่ได้อ่านพบข้อความนี้ จงบังเกิดความปีติและโน้มนำท่านไปสู่ความสว่างแจ้งในธรรมทุกท่านเทอญ