วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

21: ธรรมะเก็บตก

มานพ:26-10-2011, 08:59 PM:#5600
สวัสดีครับ
ถ้ามีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆกับพ่อแม่ครูอาจารย์จะดีมากเลยครับ ธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านให้กับเรานั้นไม่ใช่เฉพาะตอนที่ท่านนั่งแสดงธรรมเพียงอย่างเดียวท่านให้ตลอดเวลาในทุกคำพูดในทุกการแสดงออกมาทางกายล้วน
มีเหตุมีผลและมีธรรม ผมจะยกตัวอย่างให้ได้อ่านกันสักเรื่องหนึ่ง

เมื่อตอนที่คณะเดินทางไปเขาเขียวได้ไปดูเสือโดยนั่งรถที่ทางสวนสัตว์จัดไว้ให้ผ่านไประยะหนึ่งรถจอดให้เข้าไปดูเสือพัก 15 นาที คณะก็เดินดูเสือไปเรื่อยๆจนก่อนจะไปดูเสือขาวพ่อแม่ครูอาจารย์ถามผมว่า

พ่อแม่ครูอาจารย์ ..."โยมเก๋เห็นเสือใหม่"
ผม... "เห็นครับ" (น้อมไปในธรรมที่ท่านแสดงมาเมื่อเช้า)
(ท่านใช้คำถามทั่วๆไปซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนในคณะที่เดินทางไปนั้นได้เห็นเสือและได้ถ่ายภาพกันไว้แล้ว)
เมื่อเดินไปถึงที่พักเสือขาว
พ่อแม่ครูอาจารย์ ..."เสือมันไม่ตามใจเราเลย""เราอยากให้มันทำอะไรมันก็ไม่ยอมทำตาม"
(ผมได้น้อมไปในธรรมที่ท่านแสดงมาเมื่อเช้ายิ่งชัดเจนเลย)
พอตกเย็นมาพ่อแม่ครูอาจารย์ได้บอกกับผมว่า..."รู้แล้วใช่ไหม" (ผมอาจจะเอามาผูกเรื่องและคิดเอาเองครับ)

ธรรมที่ยกตัวอย่างมานั้นเปรียบเที่ยบกันธรรมที่ท่านแสดงเมื่อตอนเช้า
เสือก็เปรียบเหมือนขันธ์5นั่นเองซึ่งก็ทำตามหน้าที่ของขันธ์ตามปกติของมันไม่ได้ตามใจเรา
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นหากได้ใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์มากกว่านี้จะสังเกตุได้ว่าท่านแสดงธรรมสั่งสอนเราไม่ได้เฉพาะตอนที่ท่านนั่งแสดงธรรมเท่านั้น
(ทำให้มีความรู้สึกอิจฉาเล็กๆให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ได้ฟังธรรมจากท่าน)

เล้าสู่กันฟังเป็นนิทานธรรมก็แล้วกันครับ
ขอให้เจริญในธรรม

.........................................................................................................
มานพ:

สวัสดีครับ 555 ยังมีอีกเรื่อง
ตอนเย็นที่บ้านท่านดร.นนต์คุณโกศลได้เรียนถามธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นคำถามเดียวกันกับที่ผมได้เรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์แล้วที่บ้านสวนสันติธรรมและพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เมตตาแสดงธรรมให้ฟังเหมือนกันเลย
ทำให้เข้าใจได้ว่าการจะละกามารมณ์ทั้งหลายเป็นเรื่องยากจริงๆ
เมื่อนำมาพิจารณาแล้วทำให้เกิดคำถามที่ว่าถึงเป็นเรื่องยากอย่างไรก็ต้องมีวิธี
ตอนเช้าตอนเข้าไปกราบท่านพร้อมกับพี่สันติและท่านดร.นนต์ในห้องพระก็ตั้งใจว่าจะเรียนถามท่าน
แต่พอย้อนนึกไปถึงธรรมะสากลที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาแสดงเมื่อคืนก่อนนั้นทำให้ได้คำตอบทันที่หายสงสัยเลยธรรมะที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาแสดงออกมานั้นเป็นธรรมะสากลโดยแท้เลยไม่ได้ใช้แก้ปัญหาของพี่สาวคนนั้นเพียงอย่างเดียวแต่สามารถแก้ได้ทุกปัญหาในโลกเลยก็ว่าได้
"เมื่อพิจารณาให้เห็นโทษอยู่เสมอๆ...เราก็จะสามารถละออกได้เองโดยอัตโนมัติ"
นำมาพิจารณาแล้วทำให้หายสงสัยแต่เราจะสามารถทำใด้หรือไม่คงขึ้นอยู่กับกำลังใจที่เข้มแข็งและความพากเพียรเปรียบเสมือนดั่งปฐวีธาตุ
"จิตใจเข้มแข็งหนักแน่นดังหินและสว่างไสว"
ขอให้เจริญในธรรมครับ
มานพ
.........................................................................................................
ซึ้งบน:เมื่อวานนี้, 04:31 PM;#5606

พ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าฯ ชื่อ พ.สุรเตโช ข้าฯขอตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะเกิดหรือดับอีกกี่ภพกี่ชาติ จะขอกราบเป็นศิษย์ของท่านและจักเดินตามรอยบาทของท่าน ทุกภพทุกชาติ ตราบจนกระทั่งถึงซึ่งความหลุดพ้นทั้งหลายทั้งปวงจากกิเลส เหตุแห่งทุกข์
ธรรมที่ท่านเมตตาสั่งสอน ให้แก่ลูกศิษย์ของท่านทุกคนคือการใช้ปัญญาเป็นหลัก เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้ ส่วนสมาธิเป็นเรื่องรองลงมา สมาธินั้นเปรียบเสมือนชานบ้าน เป็นเพียงที่พักกายพักใจเท่านั้นแต่ดับทุกข์ไม่ได้
ท่านพูดเสมอว่า นักมวยที่ซ้อมกระสอบทรายจนชำนาญ มันเป็นการชกฝ่ายเดียวยังไม่เจอของจริง เหมือนการนั่งหลับตาทำสมาธิ พอจิตสงบก็ลืมทุกข์แต่ไม่ใช่การดับทุกข์ พอออกจากสมาธิก็เกิดทุกข์ได้อีก ทุกข์แท้ๆจะดับได้ด้วยปัญญาเห็นจริงเท่านั้น
การแสดงธรรมของท่าน จะสั่งสอนศิษย์แต่ละคนตามวาระจิต ซึ่งมีความแตกต่างกันไปท่านไม่เคยเบื่อหน่ายในการสั่งสอนลูกศิษย์ของท่าน แม้ว่าจักต้องแสดงธรรมสักกี่ครั้งก็ตามท่านก็มีความเมตตาอยู่เสมอ อย่างตัวของผมท่านเมตตาสั่งสอนในการละจากอารมฌ์ต่างๆที่ได้เข้ามากระทบ ในชีวิตประจำวันว่าให้พิจารณาดูว่า เมื่อมีความโกรธ ความกังวล ความหงุดหงิด ฯลฯ เข้ามากระทบในใจของตัวเอง ก็ให้พิจารณาว่าอารมฌ์เหล่านั้นมันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับ มันเป็นอนัตตา คือเราควบคุมไม่ได้ เราสั่งมันไม่ได้ ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันเปรียบเสมือนเปลวไฟถ้าเราไปจับมัน เราก็ร้อน ถ้าเรารับรู้ว่ามันร้อน เราจะไปจับมันทำไม เราก็วางมันเสียอย่าไปยึดมั่นถือมั่น มันจักเกิดขึ้นอีกเป็นล้านครั้ง เราก็รู้เท่าทันแล้วละวางมันเสีย ใจเราก็จะสบาย ให้เราหัดพิจารณาธรรมอย่างนี้บ่อยๆก็จะมีความชำนาญขึ้น เป็นการละกิเลสออกจากตัวเราทีละน้อยๆ ขัดเกลาจิตใจเราให้เบา ให้สบาย ให้มีความสงบ
ดังนั้น ทุกข์หรือความดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น มันต้องทำที่ใจภายในของตนนี่แหละ เพราะมันเกิดขึ้นจากใจตนเองเท่านั้น
.........................................................................................................
IT Man: โมทนาสาธุครับ...คุณสันติ (ซึ้งบน)
อวิชชา...หลุมพลางของผู้กำลังศึกษาแลปฏิบัติจริงๆ
.........................................................................................................
นาคน้อย: สาธุกับการตั้งจิตอธิษฐานครับ พวกเราก็คิดอย่างที่ทุกคนครับ
.........................................................................................................
คุณอ๊อด: มหามุฑิตาโมทนาสาธุุกับท่านซึ้งบนทุกประการครับ
.........................................................................................................

Jokky: โมทนาสาธุๆครับ ธรรมข้อนี้ตรงใจมากๆครับ
.........................................................................................................
มานพ
สวัสดีรอบดึกครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินพี่สันติบอกว่า"เก๋ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็เป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์คนเดียวกัน"
ได้ยินแล้วซึ้งใจจริงๆมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นกองเลย
"ยังไงพวกเราก็เป็นศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช เหมือนกันนะ"
ขอให้คืนนี้สมาธิกล้าแข็งปัญญาเฉียบแหลมนะครับพี่ๆ
.........................................................................................................
สมาชิกธรรม: 
โมทนาสาธุครับท่านสันติ.....ยินดีด้วยครับกับความก้าวหน้าในการปฎิบัติท่านสันติไปได้เร็วและไกลมากแล้วเพียงระยะเวลาสั้นๆไม่กี่เดือนภูมิธรรมของท่านนั้นไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆไม่ธรรมดาเลยนะครับ(จากถ้อยธรรมของท่าน)ชื่นชมครับ..... เหมาะสมและสมควรแล้วครับที่เป็นบุรุษผู้ห้าวหาญผู้นั้น.....ยินดีด้วยครับ
.........................................................................................................

IT Man:
อาการหลงดี อาการติดในอวิชชาทั้งหลายนั้น หากไม่ได้ครูบาอาจารย์ ผู้เคยเคี่ยวเข็ญกันมานับภพชาติไม่ถ้วน (ดั่งช้างพลาย ย่อมกลัวนายควาญช้าง) ยากยิ่งนักที่จักได้สติกลับคืนมา คงเป็นบุญของผมกับท่าน ดร.นนต์ที่ท่านสู้อุตส่าห์หนี...ลงมาช่วย ลงมาโปรดเหล่าศิษย์ที่จักก้าวล่วงสู่อบายภูมิโดยไม่รู้ตัว

ท่านพูดเปรยๆในเช้าวันแรก (ที่ 21 ต.ค.) ที่ผมคุยกะครูชาติแบบทีเล่นทีจริงโดยไม่รู้ตัวว่า "ระวังเด้อโยม อาตมาเคยเห็นมามากแล้ว ที่ความคิดพาคนลงนรก มันไม่ต้องรอให้ตายไปก่อนค่อยลงนรก มันพาลงไปนรกตั้งแต่ขณะคิดกันเลย" 

ผมพะวงและตกใจอย่างยิ่ง เพราะเราไม่ได้เดินทางไกลมาเพื่อจะลงนรกนะ จึงสบโอกาสถามท่านว่าจักทำอย่างไรดีขอรับ ท่านก็ได้เมตตาสอนว่า "อย่าทำอีก! ธรรมดาของเหม็น แม้มือเราไปแตะต้องเพียงนิดหน่อยเราก็รู้ว่าเหม็น เมื่อรู้แล้วต้องรีบชำระล้าง อย่าไปแตะต้องมันอีก อย่าไปเล่นกับมัน ดุจดั่งไฟ เมื่อเรารู้ว่ามันร้อน ก็อย่าไปแตะต้องมัน บุญกับบาปแยกแยะกันชัดเจน "บาป" แม้เราจักไม่รู้(อวิชชา) ว่าที่เราคิดหรือกระทำมันเป็นบาป อย่างไรมันก็เป็นบาป ดังนั้นการนำเรื่องราวของพระอริยะเจ้า พระโพธิสัตว์ หรือคุณธรรมทางพระพุทธศาสนามาพูดเล่นนั้นไม่ได้(เรียบเรียงคำพูดใหม่จากความทรงจำ)

ในเช้าวันนั้นท่านโปรดต่อว่า... พุทธพยากรณ์นั้น พระองค์ทรงตรัสแล้วเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ผู้ที่ทำเหตุให้สมควรจักได้ตามเหตุ ท่านถึงจักพยากรณ์ให้ได้ว่าผู้นั้นจักได้ตามนั้น(สัจจะอธิษฐาน) วาจาของท่านไม่มีเหลาะแหละเหลวไหล ตรัสอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฯลฯ

เรื่องฤทธิ์เรื่องเดชนั้น มันเป็นของโลก มันเป็นของเล่น มันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมากของพระอริยะเจ้า เมื่อท่านได้ปริญญามาแล้ว จักไปสนใจเล่นอะไรกะเด็กอนุบาล คุณธรรมเพียงขั้นพระโสดาบัน ท่านไม่จำเป็นต้องห้อยพระ หาเครื่องรางของขลังดอก เพราะกายของท่านเป็นธาตุกายสิทธิ์อยู่ในตัวอยู่แล้ว พระโสดาบันจึงไม่ใช่เพียงละสังโยชน์ 3 ตามตำรา ความจริงมีมากกว่านั้นยิ่งนัก อารมณ์เครืองโกรธ ขุ่นมัวแทบไม่มีเลย ฯลฯ

คุณแม่ชมถาม(กิเลส)ผมบ่อยๆระหว่างการเดินทางกลับ ว่า...ตื่นหรือยังลูก? ตื่นหรือยัง? ทั้งๆที่ผมเบิกตาลืม ผมก็บอกว่าตื่นแล้วครับแม่ - เมื่อท่านรับรู้ว่าเราตื่นแล้วและอาจจะกังวลใจ ท่านถึงได้พูดปลอบประโลมว่า ธรรมดาต้นไม้นั้นรากฐานแข็งแรง ลำต้นตรงสวยเด่นงามดีอยู่ เพียงแต่มีบางกิ่งที่ยื่นออกนอกแนวทางไปหาขวากหนาม ตอนนี้...ได้ดัด ได้แต่ง ให้กลับมาเป็นปกติแล้ว ขอให้มีกำลังใจมุ่งมั่นปฏิบัติต่อไปนะลูก
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

ธรรมดาคนเรา หากพูดถึงอดีตชาติก็พูดถึงแต่ความยิ่งใหญ่ของตัวเอง กลับไม่สอดส่องดูเลยว่า ตัวเองเคยตกนรกขุมไหน เคยเป็นสัตว์อะไรมาบ้าง มัวแต่ทะนงตนว่าอยู่สูง เปรียบดั่งภาชนะ แม้ทำด้วยทองคำกลับแตกหักง่าย สู้ภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าวก็ไม่ได้ น่าแปลกใจดีแท้...
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

การก้าวเดินในการปฏิบัติธรรมของนักรบธรรม ภายใต้พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช จักต้องสง่างาม ทั้งภายนอกและภายใน เหมือนปฏิปทาของท่าน ทำอะไรอย่าให้กระเทือนถึงท่าน เปรียบดั่งการหลอมทองคำให้เป็นพระพุทธรูป จักต้องมีแต่ทองคำเท่านั้น อย่าให้มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนนะลูก
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

ธรรมะสั่งผม ราวๆตี 2 ครึ่ง (ก่อนลงไปนอน แล้วเดินทางต่อในตี 3 ครึ่ง)
พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูดอย่างอิดโรยจนผมสะเทือนใจมาถึงตอนนี้...ที่ท่านยังไม่ยอมพักหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันและคืนที่ 23-24 ต.ค. ว่า...
การแสดงความคิด ความเห็นในระหว่างที่เรายังไม่รู้ทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง ต้องใช้คำพูดที่ว่า ตัวเราเป็นเพียงผู้ศึกษา ยังไม่ใช่นักปฏิบัติ หรือผู้รู้ เพราะมีคนที่คอยติดตาม คอยปฏิบัติตามเราอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่คอยจ้องจักทำร้ายหรือกระทืบซ้ำเติมเราอยู่ มีทั้งเทพบุตรมาร มีทั้งมนุษย์ที่ใช้คำพูดดีๆแต่ใจเป็นมาร มารมันไม่ยอมให้เราหลุดพ้นจากอำนาจของมันไปได้ง่ายๆ นรก มนุษย์ สวรรค์ พรหม ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของมารทั้งนั้นเลย

กราบนอบน้อมบูชาพระคุณถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชด้วยความเคารพสูงยิ่ง

กราบ กราบ กราบ
กราบ กราบ
IT Man / 28 ต.ค. 2554

.........................................................................................................
ครูชาติ

เช้าวันนี้ผมรู้สึกดีใจปิติจนขนลุกซู่ เมื่อมาอ่านข้อความต่างๆ ของแต่ละท่าน จึงขออนุญาตยกข้อความของท่าน ดร.นนต์ และของคุณสันติ มาประกอบ
ยินดีกับท่าน ดร.นนต์ ด้วยนะครับที่ท่านเข้าใจสภาวะธรรม สามารถเข้าใจคำว่า "อวิชชา" และหันมาใช้ปัญญาพิจารณาธรรมตามสภาวะที่เป็นจริง ตอนแรกผมและนักรบธรรมหลายท่านก็ลุ้นอยู่ว่าท่านจะผ่านได้หรือเปล่า หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าคุณสันติ และคุณพิเชษฐ์หายไปจากเว็บบอร์ดไปเลย ซึ่งผมก็ได้กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นระยะ ท่านก็บอกว่าท่าจะพยายามลองดู หากเขามีวาสนา และบุญบารมียังมีอยู่ คุณงามความดีทั้งหลายจะทำให้เขามีความเห็นไปในทางที่ถูกต้องได้ ก็เป็นจริงดังที่ท่านกล่าว เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เดินทางไปโปรดโดยตรง และก็มีคณะหลวงปู่เทพโลกอุดรมานิมิตให้อีก นี่แหละพระธรรมมารักษาคุณดีย่อมมีสิ่งรักษา... ลองถามดูคุณอ้าน ดูนะครับบุญกุศลได้ช่วยให้เขาผ่านพ้นวิกฤตเหตุการณ์สูนามิที่ญี่ปุ่น เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็งงว่าทำให้เขาให้ออกจากงานที่ญี่ปุ่น พอกลับมาอยู่ที่บ้านได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์สูนามิที่ญี่ปุ่น จากนั้นก็มาสมัครสอบและได้ทำงานที่ ม.ราชภัฏมหาสารคาม รายละเอียดคงให้เจ้าตัวคือคุณอ้านมาเล่าให้ฟังอีกที....ท่าน ดร.นนต์ ก็เช่นกันหากหลงผิดผิดแล้วกลับตัวทันยังไม่สาย เพราะเป็นอดีตไปแล้ว ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น อดีตเก็บเอาไว้เตือนตนไม่ให้ทำอีกเท่านั้น ต่อไปนี้กองทัพธรรมของเราก็เดินหน้าต่อไปได้แล้ว...พวกเรานักรบธรรมทุกคนจะถือเอาเหตุการณ์นี้มาเป็นคติเตือนตน และต้องใช้ปัญญาให้มาก และพวกเราทุกคนยังเคารพและนับถือท่านดร.นนต์ เช่นเดิม พร้อมที่จะให้ท่านดร.นนต์ เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมที่จะร่วมกันสร้างบารมี โดยมีพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช เป็นผู้นำ คอยชี้แนะแนวทางถูกผิด เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมก็มีถูกบ้างผิดผิดผู้ที่อยู่สูงกว่าเราเท่านั้นจะรู้....
ขออนุญาตนำข้อความของคุณสันตที่กล่าวว่า "พ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าฯ ชื่อ พ.สุรเตโช ข้าฯขอตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะเกิดหรือดับอีกกี่ภพกี่ชาติ จะขอกราบเป็นศิษย์ของท่านและจักเดินตามรอยบาทของท่าน ทุกภพทุกชาติ ตราบจนกระทั่งถึงซึ่งความหลุดพ้นทั้งหลายทั้งปวงจากกิเลส เหตุแห่งทุกข์" ข้าพเจ้าก็ขอตั้งจิตอธิษฐานเช่นเดียวกับคุณสันติดังข้อความข้างต้น และผู้ที่จะช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ได้มีเพียงพ่อแม่ครูอาจารย์เท่านั้น ข้าพเจ้าขอมอบกาย ถวายแด่ท่าน และจะไม่อะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรม จะยึดเอาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งตลอดไป....
การประพฤติปฏิบัติต้องประกอบด้วยสติปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาและทำเหตุให้สมผล ทำไปเรื่อยๆ ไม่ท้อรับรองคงได้รับผลแน่นอน....ขอให้ทุกท่านจงเจริญในธรรม....
.........................................................................................................
ขออนุโมทนาบุญทุกประการ กับพี่สมบัติด้วยครับที่พ่อแม่ครูอาจารย์ ได้ไปโปรดที่บ้านที่แม่สอด โบราณกล่าวว่าที่ใดหนใดที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันตเจ้า ได้ไปโปรดที่แห่งนั้นจะมีแต่ความเจริญ ความร่มเย็น ความเป็นมงคล

พี่จะรับรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าวันเวลามันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวเช้า เดี๋ยวเย็น อ้าว...หมดวันแล้ว อ้าว...ผ่านไป 1 วัน 2 วัน 3 วัน....จนกระทั่งถึงวันที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านจะเดินทางกลับ ใจเราจะเบา ใจเราจะเย็น ใจเราจะสบาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะราบรื่นอย่างที่บางทีเราก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ ว่าทำไม มันถึงเป็นอย่างนั้น ประสบการณ์อย่างนี้ มันจะมีค่ากับชีวิตของเรามาก มันจะเป็นสิ่งที่เราคงต้องจดจำเอาไว้ ในหัวใจตลอดชีวิตครับ

พี่พิเชฐเคยแนะนำว่า ควรหาเครื่องบันทึกเสียง แล้วขออนุญาติพ่อแม่ครูอาจารย์ท่าน บันทึกคำสอนของท่านเอาไว้เพื่อศึกษา ซึ่งมีค่ามากเพราะเราคงจำได้ไม่หมดแน่ แต่ผมก็ลืมสุดท้ายได้แต่จำไว้ในใจ น่าเสียดายโดยแท้ ทุกวันนี้ก็พยายามนึกถึงคำสอนของท่านอยู่ตลอด ว่าหลังจากนั่งสมาธิจนจิตอิ่มตัวแล้ว จิตมันจะค่อยๆถอน จนมาถึงจุดหนึ่ง (ซึ่งในหนังสือของ หลวงพ่อทูล ท่านบอกว่า การปฏิบัติต้องเริ่มต้นจากการทำสมาธิ ให้มีความสงบไปก่อน เมื่อจิตมีความสงบแล้ว จะถอนตัวออกมาอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ แล้วน้อมไปสู่ปัญญา พิจารณาในสัจจธรรมตามความเป็นจริง) ให้เริ่มใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ในแต่ละวัน ที่เข้ามากระทบใจของเรา และก็พยายามทำบ่อยๆ ทำให้ชำนาญ เพื่อที่จะเข้าใจคำสอนของท่านยิ่งๆขึ้นไป

มีอยู่คืนนึงผมนั่งสมาธิที่หลังบ้าน (ปกติจะนั่งที่ห้องพระ) ขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ทำให้ขนหัวลุกซู่ และเย็นวาบไปทั้งร่างกาย ความรู้สึกอย่างนี้ผมเคยกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ ว่าเป็นเพราะเหตุไร ท่านบอกว่า ผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ทำความดีมีบุญ พวกเหล่ากายทิพย์ พวกวิญญาณต่างๆเขาจะรับรู้ และเห็นแสงในตัวของผู้นั้นทีจะสามารถขอส่วนบุญได้ ท่านแนะนำให้ทำสมาธิต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกจากสมาธิ แล้วค่อยแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เขาเหล่านั้น ซึ่งมีเทวดาด้วยไม่ใช่จะมีเฉพาะวิญญาณ เจ้าที่เจ้าทาง ฯลฯ อย่างเดียว

เรื่องเหล่านี้ผมเล่าจากประสบการณ์ของผม ให้เหล่าพี่น้อง นรธ.ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจ ในการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ส่วนท่านอื่นที่ผ่านเข้ามาอ่าน ถ้าเชื่อและได้รับประโยชน์ผมก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ถ้าไม่เชื่อก็อย่าได้ปรามาสกันนะครับ

( เพราะผมยกพ่อแม่ครูอาจารย์ของผมไว้เหนือหัวครับ ท่านสั่งสอนธรรมใดผมเชื่อและปฏิบัติตามสุดกายสุดใจ ครับ)
.........................................................................................................
ครูชาติ เมื่อ 30-11-2011, 11:38 AM


หลายคนอาจจะมองว่าผมหายหน้าไปไหน จริงๆ แล้วไม่ได้หายหน้าไปไหนเข้ามาแวะเวียนอ่านกระทู้ทุกๆ วัน แต่มีเวลาไม่ว่างพอจะแสดงความคิดเห็นผมขอเริ่มจาก ธรรมสัญจรครั้งที่ 1 ก็แล้วกันครับ
เส้นทางการเดินทางของเหล่านักรบธรรมจาก ธรรมะสัญจร ครั้งที่ 1 ณ สวนสันติธรรม (เดินทางไปอิสานใต้และภาคตะวันออก) ผมได้ร่วมเดินทางกับพ่อแม่ครูอาจารย์เพื่อไปโปรดญาติธรรมทางภาคตะวันออก และได้พำนัก ณ สวนสันติธรรม (บ้านคุณสันติ) ได้พบเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ขาดสายมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นซึ่งมองดูแล้วทุกคนต่างก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว....การไปครั้งนั้นก็ขออนุโมทนา และขอแสดงความยินดีกับคุณสันติและภรรยา ที่ให้บ้านสวนเป็นสถานที่พักและและเป็นสถานที่แสดงธรรมแก่เหล่านักรบธรรมทั้งหลาย บุญกุศลใดท่านท่านเคยทำมาแล้วในอดีตชาติก็ดี และในปัจจุบันชาติก็ดีขอให้บุญนั้นจะเป็นพลปัจจัยให้ท่านได้มรรคผลนิพานด้วยเทอญ....
จากนั้นผมได้ร่วมเดินทางไปธุดงค์กับพ่อแม่ครูอาจารย์ในธรรมสัญญจร ครั้งที่ 2 ณ บ้านคุณสมบัติ อ.แม่สอด จ.ตาก ก็ได้ญาติธรรมของคุณสมบัติ ที่แม่สอด และ ที่จ.แม่ฮ่องสอน แวะเวียนมาฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์เช่นกัน...การเดินทางไปครั้งนี้ได้พบเห็นเหตุการณ์หลายๆ อย่างและก็ได้ธรรมะมาสอนใจตนเองเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สภาวะธรรมที่เกิดกับคุณแม่ชม หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุณสมบัติ และคุณบี้ออกอาการเมารถ ทำให้รู้ว่าร่างกายของเราต้องการพักผ่อนอาหารของเขาก็ต้องพักผ่อนจึงจะไปต่อได้ เส้นทาเดินเต็มไปด้วยป่าเขาเส้นทางเดินอันคดเคียว ทำให้ร่างกายรับสถาพไม่ไหวจึงเกิดอาการเมารถ ทำให้ทราบได้ว่าร่างกายไม่ใช่ของๆ เราจริงๆ ทั้งที่ใจของเรายังสู้นั่งภาวนาไปด้วย หากร่างกายเรารับไม่ไหวก็แสดงออกมาอย่างนั้นทำให้เห็นสภาวะธรรมได้เลยว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วนกันมันไม่ใช่ของๆ เรา หากเป็นของเราแล้วต้องบอกมันได้....ซึ่งทำให้เราเห็นสภาวะธรรมจริงๆ ดั่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์พยายามพร่ำสอนเราอยู่เสมอว่า "กายกับจิตเป็นคนละซึ่งประกอบมาจากธาตุ 4 และขันธ์ 5 เราไม่สามารถบังคับมันได้" ท่านฝึกให้เราพยายามมองให้เห็นสภาวะธรรมของจริง... ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้ก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรมภาคปฏิบัติหลังจากเราได้ศึกษาหลักทฤฆฎีจากท่านแล้ว....
ท้ายที่สุดก็ขออนุโมทนากับผู้ใจบุญ ผู้มีจิตศรัทธาทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมกันเสียสละปัจจัยเป็นค่าพาหนะ ค่าอาหาร และค่าอื่นๆ ในการเดินทางธรรมสัญจร ทั้ง 2 ครั้งนี้ เหล่านักรบธรรมทั้งหลายก็รู้ซาบซึ้งในความคุณงามความดีของท่านทั้งหลาย....ก็ขออนุโมทนาด้วยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณงามความดีทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งอานิสงค์แห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมของพวกเราทั้งหลาย รวมทั้งคุณงามความดีที่ท่านได้กระทำมาแล้วในอดีตชาติก็ดี และในปัจจุบันชาติก็ดี จงเป็นพลปัจจัยให้ท่านและครอบครัวจงมีความสุขความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม หากท่านประพฤติปฏิบัติธรรมก็ขอให้พระธรรมจงคุ้มครองรักษาท่านให้ท่านได้บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยเทอญ....สาธุ....
ขอให้เจริญในธรรม....

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

20: โปรด นรธ.ดร.นนต์



 

23 ตุลาคม 2554 ประมาณหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มกว่าๆ พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรม ได้เดินทางไปนมัสการรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ณ วิหารหลวงปู่โต ริมถนนมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว โคราช (สร้างโดยคุณสรพงศ์ ชาตรี และพุทธสานิกชน)
ทุกสิ่งถูกกำหนดเวลาให้เข้าไปสักการะในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่วิหารได้ปิดแล้วตั้งแต่ห้าโมงเย็น พอไปถึง พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้ลงจากรถโดยเร็วและเดินเข้าไปในวิหารเสมือนกลับบ้านตัวเอง ยามเฝ้าวิหารได้เดินเข้ามาอำนวยความสะดวกโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เหล่านักรบธรรมก็ยังงงๆในเหตุการณ์นั้น แต่ต้องรีบเดินติดตามไปให้ทัน ทุกสิ่งดำเนินไปในสภาวะที่ไม่สามารถอธิบายให้ผู้ที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ได้เข้าใจทั้งหมด หลังจากพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เดินขึ้นไปนมัสสการหลวงปู่โตแล้ว ได้เดินลงมาข้างล่างทำให้คุณแม่ชมถึงกับปีติสุดๆ น้ำตาหลั่งไหลออกมาอยู่นานสองนาน เหล่านักรบธรรมก็พลอยปีติไม่แพ้กัน ความลังเลสงสัยไม่มีอีกต่อไป นัยยะบางอย่างยิ่งตอกย้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โอ้หนอ...จิตและกายของผู้ที่อยู่เหนือโลก แม้จะเกิดดับกี่ชาติภพ ก็ยังเปล่งรังสีออกมาไม่สิ้นสุด...พวกเราไม่มีใครพูดหรือซักถามพ่อแม่ครูอาจารย์ในความสงสัยใดๆ เพราะเข้าใจในสภาวะเหนือโลกด้วยจิตด้วยใจของแต่ละคนอยู่แล้ว
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
25 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
23 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรมได้เดินทางมาถึงบ้านของผม หลังจากนั้นท่านได้แสดงธรรมโปรดญาติธรรมจนถึงเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ แม้จะจบการแสดงธรรมแล้ว แต่ญาติธรรมหลายๆท่านยังไม่ค่อยอยากจะกลับเท่าใดนัก กว่าเหล่านักรบธรรมจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสองกว่าๆ นี้หละหนาการฟังธรรมอันประเสริฐ สามารถทำให้ลืมความง่วงนอนได้
ปล. ญาติธรรมที่มาสมทบเพื่อกราบนมัสการและฟังธรรม มาจากกรุงเทพฯคือ ท่านนาวาอากาศโทสุทน พร้อมญาติธรรมที่เป็นครูมาจากจังหวัดยะลาสองท่าน ครอบครัวของคุณจ็อกกี้ คุณประจักร์และคุณปุ้ย คุณโกศลและคุณแม่ อ.นฤดม(ม.ราชมงคลอีสาน)พร้อมครอบครัว
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
25 ตุลาคม 2554

  
นอกจากพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านจะได้แสดงธรรมโปรดพุทธศาสนิกชนแล้ว ท่านยังได้แสดงธรรมแก่คุณครูท่านหนึ่งที่ต่างศาสนา ครูสตรีท่านนี้ได้เดินทางมากับเพื่อนครูอีกท่านหนึ่งจากจังหวัดยะลา โดยมาพร้อมกับท่านนาวาอากาศโทสุทน เพื่อแสวงหาที่พึ่งในการปลดทุกข์ของเธอที่ได้รับความทุกข์ทรมานมาเกือบสี่สิบปี(38 ปี) หลังจากได้กราบถามพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ได้แสดงธรรมโปรดเธอจบลง เธอมีอาการปีติจนต้องร้องไห้ออกมา ความทุกข์ทั้งหลายที่อัดอั้นมานับสี่สิบปี ได้คลายออกไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหลือแต่ความปีติและโอกาสที่เธอจะได้นำไปปฏิบัติเพื่อให้สิ้นทุกข์ทั้งหลายในอนาคตต่อไป ทุกคนที่นั่งฟังอยู่นั้น ต่างอนุโมทนาและให้กำลังใจ และยังได้รับประโยชน์จากธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์แสดงออกมาเช่นกัน ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านกล่าวว่า "ธรรมะเป็นของโลก" ไม่มีแบ่งเชื้อชาติศาสนา ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ พระพุทธองค์มิเคยปิดกั้นผู้ใด

คำถามของเธอคือ ความทุกข์ทรมานจากบางอย่างทำให้เธอนอนไม่หลับมานานเกือบทั้งชีวิต เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ได้แสดงธรรมโปรดเธอในตอนหนึ่งว่า ความทุกข์ทั้งหลายมันมีเหตุมาจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น แล้วนำมาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงทำให้เกิดทุกข์ ท่านชี้ให้เห็นโทษของสิ่งนั้นว่า มันเป็นสาเหตุของความทุกข์ หากสิ่งที่เรานำมาคิดมันเป็นคุณแล้วทำไมมันยังทำให้เกิดความทุกข์อยู่เล่า นั่นจึงแสดงว่าสิ่งที่เรานำมาคิดมาปรุงแต่งนั้น มันมีแต่โทษล้วนๆ

คำพูดของเธอในตอนหนึ่งว่า เธอเป็นครูแนะแนวที่คอยให้คำปรึกษาแก่คนอื่นได้ดี แต่ทำไมเธอยังทุกข์อยู่ พ่อแม่ครูอาจารย์จึงกล่าวกับเธอว่า ให้เอาคำสอนที่เธอสอนผู้อื่นนั้นแหละกลับมาสอนตัวเองด้วย อย่าลืมสอนตัวเอง หลังจากนั้นท่านจึงได้แนะนำพื้นฐานแห่งการดับทุกข์แบบง่ายๆ ที่เธอพอจะเข้าใจได้คือ ให้เธอระลึกถึงแต่สิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เธอนับถือสูงสุด เพราะศรัทธาในสิ่งที่ดี(สิ่งที่เป็นคุณ)จะทำให้เธอคลายกังวลไปสู่ความสงบ และให้มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก เพราะสมาธิเป็นของกลางที่ทุกชนชาติศาสนาสามารถนำไปใช้ได้ การรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นการเพ่งอยู่ที่จุดเดียว จึงทำให้ความคิดไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ดั่งที่นักปฏิบัติเข้าใจกันดี ท่านบอกว่านี้คือ วิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างง่ายๆ และไม่ขัดกับศาสนาของเธอ ความเมตตาและรังสีธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ได้แผ่ไปถึงเธออย่างน่าอัศจรรย์ เช้าต่อมาผมทราบจากท่านสุทนว่า เธอจะขอไปกราบและฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ภูดานไหในโอกาสต่อๆไปอีกครั้ง

อนึ่ง พ่อแม่ครูอาจารย์ได้มอบปฐวีธาตุที่ไม่มีรูปพระพุทธเจ้าแก่เธอ เพื่อเป็นที่ระลึกและจะได้ไม่ผิดศาสนาของเธออีกด้วย จึงขออนุโมทนาด้วยทุกประการครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
25 ตุลาคม 2554 

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

19: โปรด นรธ.สันติ

เรียน นรธ.และเพื่อนธรรมทุกท่าน,
ตอนนี้ คณะของพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เดินทางมาถึงบ้านสวนของคุณสันติโดยสวัสดิภาพแล้ว (ประมาณ 18:00 ของวันที่ 16 ต.ค.'54)
ขอแสดงความยินดีและโมทนาสาธุในบุญกับญาติธรรมสายคุณสันติและคุณพิเชฐ มา ณ ที่นี้
.........................................................................................................
วันนี้, 03:05 PM
ขณะนี้คณะของพ่อแม่ครูอาจารย์ อยู่ที่เกาะช้าง
(อยากบอกว่า อิจฉา 555) 
คาดว่าพรุ่งนี้จักขึ้นเขาคิชฌกูฏ เพื่อสำรวจเส้นทางครับ


ภาพบ้านคุณสันติ และบ้านพักเพื่อนคุณสันติที่เกาะช้าง

คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1000824.JPG
Views: 4
Size: 256.3 KB
ID: 1726717 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1000826.JPG
Views: 4
Size: 175.9 KB
ID: 1726718 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1000839.JPG
Views: 4
Size: 377.7 KB
ID: 1726719 
.........................................................................................................


รอยพระบาทเขาคิชฌกูฏ
ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฎ การเดินทางเริ่มต้นที่วัดพลวงไปตามถนนที่ลาดชันมาก
ระยะทาง 8 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร ทิวทัศน์บน
ยอดเขาคิชฌกูฏหรือเขาพระบาทนี้เป็นปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาที่นำมา ผูกกับตำนาน
ทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ ศิลาเจดีย์ รอยพระพุทธบาท หินรูปบาตรคว่ำ ถ้ำฤาษี
ลานแข่งรถพระอินทร์ หินที่มีรูปร่างคล้ายเต่าและช้างขนาดยักษ์ บนยอดเขาพระบาท
ซึ่งมีอากาศเย็นสบายนั้น สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสระบาป เขาสุกิม
เกาะนมสาว และตัวเมืองจันทบุรีได้อย่างชัดเจน เฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนถึงช่วง
วันมาฆบูชาของทุกปีจะมีประชาชนขึ้นไป นมัสการรอยพระพุทธบาททั้งกลางวันและ
กลางคืนเป็นจำนวนมาก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ โทร. 0-3945-2074

เพิ่มเติม
อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ
อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ หรือที่ใครๆ เรียกกันจนติดปากว่า “เขาคิชฌกูฏ”
มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอมะขาม และกิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี และยัง
เป็นต้นน้ำสำคัญของแม่น้ำจันทบุรี สภาพป่าในบริเวณนี้มีทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา
และป่าไม้ผลัดใบ มีสมุนไพรและกล้วยไม้ป่านานาชนิด รวมทั้งมีพันธุ์ไม้หายาก
คือ ไม้กฤษณา และ เนื่องจากเป็นป่าที่อยู่ในเขตเทือกเขาสูงชัน จึงมีสัตว์ป่าชุกชุม
เช่น กระทิง เสือ หมี กวาง เก้ง เลียงผา และนกชนิดต่างๆ นอกจากนี้ ตามลำห้วย
ยังมี ปลาพลวง ปลาก้าง ปลาหนวด ปลาดุกรำพัน อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ได้แก่
น้ำตกกระทิง,น้ำตกคลองช้างเซ ,ยอดเขาพระบาท และที่ได้รับความสนใจจาก
นักท่องเที่ยวเป็นพิเศษนั้นเห็นจะเป็น การนมัสการรอยพระบาทเขาคิชฌกูฏ

.........................................................................................................
วันนี้ 18-10-2011, 07:31 PM พ่อแม่ครูอาจารย์ได้นำพาคณะนักรบธรรมขึ้นไปไหว้พระพุทธบาท ณ เขาคิชกูฏ ทำให้รู้รสชาด คำว่า คล่องแคล่ว ว่องไว ไร้เสียง เสี่ยงตาย มุ่งหมายพระนิพพาน....เพราะต้องนั่งรถผ่านหฤโหดเพื่อขึ้นสู่ยอดเขา...มีภาพมาให้ชม...
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1000916.JPG
Views:	14
Size:	407.3 KB
ID:	1728259 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1000946.JPG
Views:	16
Size:	414.6 KB
ID:	1728260 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1000956.JPG
Views:	15
Size:	416.5 KB
ID:	1728261  
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1000983.JPG
Views:	20
Size:	386.8 KB
ID:	1728262 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1000997.JPG
Views:	14
Size:	413.7 KB
ID:	1728263 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1010003.JPG
Views:	16
Size:	446.6 KB
ID:	1728264  
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1010013.JPG
Views:	16
Size:	476.8 KB
ID:	1728265 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P1010016.JPG
Views:	24
Size:	442.4 KB
ID:	1728266
.........................................................................................................
พระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม ที่เสด็จมาที่เขาคิชฌกูฏ โดยพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ได้อัญเชิญมา(18ตค.54) เพื่อมอบให้เหล่านักรบธรรม ใครอยากได้คงต้องรอเวลาเจอกันที่ภูดานไห ในช่วงเคาท์ดาวน์และปฏิบัติธรรม ณ ภูดานไห ปีใหม่นี้นะครับ
หมายเหตุ ผมขอแฮ็ก User name ของคุณซึ้งบน ใช้ไปพลางๆก่อนเพื่ออัพเดทข้อมูลครับ
ดร.นนต์
20 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
เพ็ชรมีทั้งสีขาวใส สีเหลือง สีน้ำเงิน และสีดำ ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ได้คัดแยกออกมาจากกลุ่มพระบรมสารีริกธาตุหลากหลายสัณฐานและหลากสี ที่ได้อัญเชิญมาจากเขาคิชฌกูฏ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2554 ได้จำนวนทั้งหมด 49 เม็ด แยกเป็นสีขาวใส 35 สีดำ 10 สีเหลือง 3 สีน้ำเงิน 1

.........................................................................................................
พระธาตุข้าวบิณฑ์ อัญเชิญจากเขาคิชฌกูฏ วันที่ 18 ตุลาคม 2554 เตรียมไว้ให้สำหรับเหล่านักรบธรรมที่ต้องการครับ

.........................................................................................................
ถวายภัตตาหารแด่พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ณ บ้านสวนสันติธรรม ของท่านสันติ จันทบุรี 21 ตุลาคม
.........................................................................................................
วันที่ 21-22 ตุลาคม 2554 พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชและเหล่านักรบธรรมแห่งภูดานไห ได้ธุดงค์สัญจรไปยังเกาะช้าง จ.ตราด เพื่อไปศึกษาสภาวะธรรมในสถานที่จริงอีกสภาวะหนึ่ง คือ พื้นน้ำและท้องทะเล หลังจากเหล่านักรบธรรมเคยได้ปีนป่ายขึ้นเขาทั้งที่ภูผาผึ้งและภูดานไหมาแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านบอกว่าการเรียนรู้จากตำรานั้น มันมีความจริงอยู่เพียงส่วนหนึ่ง แต่การศึกษาจากสภาวะจริงของสรรพสิ่งหรือการปฏิบัติเรียนรู้จากความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้นๆ ต่างหากที่จะทำให้นักปฏิบัติเข้าใจในกฏไตรลักษณ์อย่างแท้จริง ความทุกข์ก็ทุกข์จริง ความสุขก็สุขจริงๆ ไปให้ถึงแห่งความทุกข์และความสุขเป็นที่สุดแล้ว ถึงจะรู้ว่าความทุกข์และความสุขนั้นแท้ที่จริงแล้วมันคืออะไร การไม่ยึดติดในความทุกข์และความสุขนั้น มันเกิดขึ้นได้จริงไหม เมื่อเจอกับสภาวะจริงนั้นๆ การสอนสภาวะธรรมของแม่ครูอาจารย์เกิดขึ้นตลอดเวลาและเส้นทางทั้งในบ้าน บนรถ บนเรือ บนภูเขาบนพื้นน้ำในท้องทะเล ทั้งวิธีกระทุ้ง กระแทก หรือปัญญาอันนุ่มนวลและเฉียบคม คืออุบายธรรมที่ท่านใช้สอนเหล่านักบธรรมอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย นี่คือความเมตตาของพระผู้มาโปรดโลก ธรรมที่ท่านสั่งสอนออกมาจากหัวจิตหัวใจ จึงมีความละเอียดตามวาระจิตและภูมิธรรมของลูกศิษย์แต่ละคน บางสิ่งจึงไม่สามารถเขียนออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้ ภาพที่นำมาแสดงนี้ เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น ความจริงที่อยู่เบื้องหลังภาพถ่ายนั้น ไม่สามารถอรรถาธิบายได้ ก็ลองชมดูนะครับ
ปล.ผมขอใช้ user name ของท่านซึ้งบนก่อนนะครับ
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
22 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
การภาวนาและฝึกสมาธิในน้ำทะเล ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาสอนและลงมือปฏิบัติให้ดู นักภาวนาทั้งหลาย จักต้องเป็นผู้ที่ไร้เงื่อนไข ไร้กาลเวลา สถานที่ ในการปฏิบัติ ให้เข้าใจและสามารถปฏิบัติได้ในทุกสภาวะเมื่อมีความพร้อม ภาพที่นำมาแสดงนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการสอนธรรมในน้ำทะเล ณ เกาะช้าง จ.ตราด วันที่ 21 ตุลาคม 2554 ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงเข้าใจในสภาวะนั้นได้ดี ขณะเดียวกัน ในขณะที่พ่อแม่ครูอาจารย์และเหล่านักรบธรรมกำลังปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ปรากฏว่า พระอุปคุตเถระเจ้าได้เสด็จมาอนุโมทนา รวมทั้งมีพญานาคก็ได้มาร่วมอนุโมทนาด้วย (เป็นปัตจัตตัง)
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
23 ตุลาคม 2554
.........................................................................................................
22 ตุลาคม 2554 เหล่านักรบธรรมพาพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ไปพักผ่อนอริยาบท และศึกษาสภาวะธรรมชาติของสวนสัตว์เขาเขียว จ.ชลบุรี
.........................................................................................................
23 ตุลาคม 2554 พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรมไปเยี่ยมคุณสาวกธรรม 1 (คุณประจักร์) หรือนาคน้อยอาบังที่เราเรียกกัน ณ อ.สูงเนิน โคราช ก่อนเดินทางไปนมัสการหลวงปู่โต ที่อำเภอสีคิ้ว นับเป็นมงคลยิ่งต่อครอบครัวของคุณประจักร์ ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
.........................................................................................................