วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

21: ธรรมะเก็บตก

มานพ:26-10-2011, 08:59 PM:#5600
สวัสดีครับ
ถ้ามีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆกับพ่อแม่ครูอาจารย์จะดีมากเลยครับ ธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านให้กับเรานั้นไม่ใช่เฉพาะตอนที่ท่านนั่งแสดงธรรมเพียงอย่างเดียวท่านให้ตลอดเวลาในทุกคำพูดในทุกการแสดงออกมาทางกายล้วน
มีเหตุมีผลและมีธรรม ผมจะยกตัวอย่างให้ได้อ่านกันสักเรื่องหนึ่ง

เมื่อตอนที่คณะเดินทางไปเขาเขียวได้ไปดูเสือโดยนั่งรถที่ทางสวนสัตว์จัดไว้ให้ผ่านไประยะหนึ่งรถจอดให้เข้าไปดูเสือพัก 15 นาที คณะก็เดินดูเสือไปเรื่อยๆจนก่อนจะไปดูเสือขาวพ่อแม่ครูอาจารย์ถามผมว่า

พ่อแม่ครูอาจารย์ ..."โยมเก๋เห็นเสือใหม่"
ผม... "เห็นครับ" (น้อมไปในธรรมที่ท่านแสดงมาเมื่อเช้า)
(ท่านใช้คำถามทั่วๆไปซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนในคณะที่เดินทางไปนั้นได้เห็นเสือและได้ถ่ายภาพกันไว้แล้ว)
เมื่อเดินไปถึงที่พักเสือขาว
พ่อแม่ครูอาจารย์ ..."เสือมันไม่ตามใจเราเลย""เราอยากให้มันทำอะไรมันก็ไม่ยอมทำตาม"
(ผมได้น้อมไปในธรรมที่ท่านแสดงมาเมื่อเช้ายิ่งชัดเจนเลย)
พอตกเย็นมาพ่อแม่ครูอาจารย์ได้บอกกับผมว่า..."รู้แล้วใช่ไหม" (ผมอาจจะเอามาผูกเรื่องและคิดเอาเองครับ)

ธรรมที่ยกตัวอย่างมานั้นเปรียบเที่ยบกันธรรมที่ท่านแสดงเมื่อตอนเช้า
เสือก็เปรียบเหมือนขันธ์5นั่นเองซึ่งก็ทำตามหน้าที่ของขันธ์ตามปกติของมันไม่ได้ตามใจเรา
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นหากได้ใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์มากกว่านี้จะสังเกตุได้ว่าท่านแสดงธรรมสั่งสอนเราไม่ได้เฉพาะตอนที่ท่านนั่งแสดงธรรมเท่านั้น
(ทำให้มีความรู้สึกอิจฉาเล็กๆให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ได้ฟังธรรมจากท่าน)

เล้าสู่กันฟังเป็นนิทานธรรมก็แล้วกันครับ
ขอให้เจริญในธรรม

.........................................................................................................
มานพ:

สวัสดีครับ 555 ยังมีอีกเรื่อง
ตอนเย็นที่บ้านท่านดร.นนต์คุณโกศลได้เรียนถามธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นคำถามเดียวกันกับที่ผมได้เรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์แล้วที่บ้านสวนสันติธรรมและพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เมตตาแสดงธรรมให้ฟังเหมือนกันเลย
ทำให้เข้าใจได้ว่าการจะละกามารมณ์ทั้งหลายเป็นเรื่องยากจริงๆ
เมื่อนำมาพิจารณาแล้วทำให้เกิดคำถามที่ว่าถึงเป็นเรื่องยากอย่างไรก็ต้องมีวิธี
ตอนเช้าตอนเข้าไปกราบท่านพร้อมกับพี่สันติและท่านดร.นนต์ในห้องพระก็ตั้งใจว่าจะเรียนถามท่าน
แต่พอย้อนนึกไปถึงธรรมะสากลที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาแสดงเมื่อคืนก่อนนั้นทำให้ได้คำตอบทันที่หายสงสัยเลยธรรมะที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาแสดงออกมานั้นเป็นธรรมะสากลโดยแท้เลยไม่ได้ใช้แก้ปัญหาของพี่สาวคนนั้นเพียงอย่างเดียวแต่สามารถแก้ได้ทุกปัญหาในโลกเลยก็ว่าได้
"เมื่อพิจารณาให้เห็นโทษอยู่เสมอๆ...เราก็จะสามารถละออกได้เองโดยอัตโนมัติ"
นำมาพิจารณาแล้วทำให้หายสงสัยแต่เราจะสามารถทำใด้หรือไม่คงขึ้นอยู่กับกำลังใจที่เข้มแข็งและความพากเพียรเปรียบเสมือนดั่งปฐวีธาตุ
"จิตใจเข้มแข็งหนักแน่นดังหินและสว่างไสว"
ขอให้เจริญในธรรมครับ
มานพ
.........................................................................................................
ซึ้งบน:เมื่อวานนี้, 04:31 PM;#5606

พ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าฯ ชื่อ พ.สุรเตโช ข้าฯขอตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะเกิดหรือดับอีกกี่ภพกี่ชาติ จะขอกราบเป็นศิษย์ของท่านและจักเดินตามรอยบาทของท่าน ทุกภพทุกชาติ ตราบจนกระทั่งถึงซึ่งความหลุดพ้นทั้งหลายทั้งปวงจากกิเลส เหตุแห่งทุกข์
ธรรมที่ท่านเมตตาสั่งสอน ให้แก่ลูกศิษย์ของท่านทุกคนคือการใช้ปัญญาเป็นหลัก เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้ ส่วนสมาธิเป็นเรื่องรองลงมา สมาธินั้นเปรียบเสมือนชานบ้าน เป็นเพียงที่พักกายพักใจเท่านั้นแต่ดับทุกข์ไม่ได้
ท่านพูดเสมอว่า นักมวยที่ซ้อมกระสอบทรายจนชำนาญ มันเป็นการชกฝ่ายเดียวยังไม่เจอของจริง เหมือนการนั่งหลับตาทำสมาธิ พอจิตสงบก็ลืมทุกข์แต่ไม่ใช่การดับทุกข์ พอออกจากสมาธิก็เกิดทุกข์ได้อีก ทุกข์แท้ๆจะดับได้ด้วยปัญญาเห็นจริงเท่านั้น
การแสดงธรรมของท่าน จะสั่งสอนศิษย์แต่ละคนตามวาระจิต ซึ่งมีความแตกต่างกันไปท่านไม่เคยเบื่อหน่ายในการสั่งสอนลูกศิษย์ของท่าน แม้ว่าจักต้องแสดงธรรมสักกี่ครั้งก็ตามท่านก็มีความเมตตาอยู่เสมอ อย่างตัวของผมท่านเมตตาสั่งสอนในการละจากอารมฌ์ต่างๆที่ได้เข้ามากระทบ ในชีวิตประจำวันว่าให้พิจารณาดูว่า เมื่อมีความโกรธ ความกังวล ความหงุดหงิด ฯลฯ เข้ามากระทบในใจของตัวเอง ก็ให้พิจารณาว่าอารมฌ์เหล่านั้นมันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับ มันเป็นอนัตตา คือเราควบคุมไม่ได้ เราสั่งมันไม่ได้ ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันเปรียบเสมือนเปลวไฟถ้าเราไปจับมัน เราก็ร้อน ถ้าเรารับรู้ว่ามันร้อน เราจะไปจับมันทำไม เราก็วางมันเสียอย่าไปยึดมั่นถือมั่น มันจักเกิดขึ้นอีกเป็นล้านครั้ง เราก็รู้เท่าทันแล้วละวางมันเสีย ใจเราก็จะสบาย ให้เราหัดพิจารณาธรรมอย่างนี้บ่อยๆก็จะมีความชำนาญขึ้น เป็นการละกิเลสออกจากตัวเราทีละน้อยๆ ขัดเกลาจิตใจเราให้เบา ให้สบาย ให้มีความสงบ
ดังนั้น ทุกข์หรือความดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น มันต้องทำที่ใจภายในของตนนี่แหละ เพราะมันเกิดขึ้นจากใจตนเองเท่านั้น
.........................................................................................................
IT Man: โมทนาสาธุครับ...คุณสันติ (ซึ้งบน)
อวิชชา...หลุมพลางของผู้กำลังศึกษาแลปฏิบัติจริงๆ
.........................................................................................................
นาคน้อย: สาธุกับการตั้งจิตอธิษฐานครับ พวกเราก็คิดอย่างที่ทุกคนครับ
.........................................................................................................
คุณอ๊อด: มหามุฑิตาโมทนาสาธุุกับท่านซึ้งบนทุกประการครับ
.........................................................................................................

Jokky: โมทนาสาธุๆครับ ธรรมข้อนี้ตรงใจมากๆครับ
.........................................................................................................
มานพ
สวัสดีรอบดึกครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินพี่สันติบอกว่า"เก๋ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็เป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์คนเดียวกัน"
ได้ยินแล้วซึ้งใจจริงๆมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นกองเลย
"ยังไงพวกเราก็เป็นศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช เหมือนกันนะ"
ขอให้คืนนี้สมาธิกล้าแข็งปัญญาเฉียบแหลมนะครับพี่ๆ
.........................................................................................................
สมาชิกธรรม: 
โมทนาสาธุครับท่านสันติ.....ยินดีด้วยครับกับความก้าวหน้าในการปฎิบัติท่านสันติไปได้เร็วและไกลมากแล้วเพียงระยะเวลาสั้นๆไม่กี่เดือนภูมิธรรมของท่านนั้นไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆไม่ธรรมดาเลยนะครับ(จากถ้อยธรรมของท่าน)ชื่นชมครับ..... เหมาะสมและสมควรแล้วครับที่เป็นบุรุษผู้ห้าวหาญผู้นั้น.....ยินดีด้วยครับ
.........................................................................................................

IT Man:
อาการหลงดี อาการติดในอวิชชาทั้งหลายนั้น หากไม่ได้ครูบาอาจารย์ ผู้เคยเคี่ยวเข็ญกันมานับภพชาติไม่ถ้วน (ดั่งช้างพลาย ย่อมกลัวนายควาญช้าง) ยากยิ่งนักที่จักได้สติกลับคืนมา คงเป็นบุญของผมกับท่าน ดร.นนต์ที่ท่านสู้อุตส่าห์หนี...ลงมาช่วย ลงมาโปรดเหล่าศิษย์ที่จักก้าวล่วงสู่อบายภูมิโดยไม่รู้ตัว

ท่านพูดเปรยๆในเช้าวันแรก (ที่ 21 ต.ค.) ที่ผมคุยกะครูชาติแบบทีเล่นทีจริงโดยไม่รู้ตัวว่า "ระวังเด้อโยม อาตมาเคยเห็นมามากแล้ว ที่ความคิดพาคนลงนรก มันไม่ต้องรอให้ตายไปก่อนค่อยลงนรก มันพาลงไปนรกตั้งแต่ขณะคิดกันเลย" 

ผมพะวงและตกใจอย่างยิ่ง เพราะเราไม่ได้เดินทางไกลมาเพื่อจะลงนรกนะ จึงสบโอกาสถามท่านว่าจักทำอย่างไรดีขอรับ ท่านก็ได้เมตตาสอนว่า "อย่าทำอีก! ธรรมดาของเหม็น แม้มือเราไปแตะต้องเพียงนิดหน่อยเราก็รู้ว่าเหม็น เมื่อรู้แล้วต้องรีบชำระล้าง อย่าไปแตะต้องมันอีก อย่าไปเล่นกับมัน ดุจดั่งไฟ เมื่อเรารู้ว่ามันร้อน ก็อย่าไปแตะต้องมัน บุญกับบาปแยกแยะกันชัดเจน "บาป" แม้เราจักไม่รู้(อวิชชา) ว่าที่เราคิดหรือกระทำมันเป็นบาป อย่างไรมันก็เป็นบาป ดังนั้นการนำเรื่องราวของพระอริยะเจ้า พระโพธิสัตว์ หรือคุณธรรมทางพระพุทธศาสนามาพูดเล่นนั้นไม่ได้(เรียบเรียงคำพูดใหม่จากความทรงจำ)

ในเช้าวันนั้นท่านโปรดต่อว่า... พุทธพยากรณ์นั้น พระองค์ทรงตรัสแล้วเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ผู้ที่ทำเหตุให้สมควรจักได้ตามเหตุ ท่านถึงจักพยากรณ์ให้ได้ว่าผู้นั้นจักได้ตามนั้น(สัจจะอธิษฐาน) วาจาของท่านไม่มีเหลาะแหละเหลวไหล ตรัสอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฯลฯ

เรื่องฤทธิ์เรื่องเดชนั้น มันเป็นของโลก มันเป็นของเล่น มันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมากของพระอริยะเจ้า เมื่อท่านได้ปริญญามาแล้ว จักไปสนใจเล่นอะไรกะเด็กอนุบาล คุณธรรมเพียงขั้นพระโสดาบัน ท่านไม่จำเป็นต้องห้อยพระ หาเครื่องรางของขลังดอก เพราะกายของท่านเป็นธาตุกายสิทธิ์อยู่ในตัวอยู่แล้ว พระโสดาบันจึงไม่ใช่เพียงละสังโยชน์ 3 ตามตำรา ความจริงมีมากกว่านั้นยิ่งนัก อารมณ์เครืองโกรธ ขุ่นมัวแทบไม่มีเลย ฯลฯ

คุณแม่ชมถาม(กิเลส)ผมบ่อยๆระหว่างการเดินทางกลับ ว่า...ตื่นหรือยังลูก? ตื่นหรือยัง? ทั้งๆที่ผมเบิกตาลืม ผมก็บอกว่าตื่นแล้วครับแม่ - เมื่อท่านรับรู้ว่าเราตื่นแล้วและอาจจะกังวลใจ ท่านถึงได้พูดปลอบประโลมว่า ธรรมดาต้นไม้นั้นรากฐานแข็งแรง ลำต้นตรงสวยเด่นงามดีอยู่ เพียงแต่มีบางกิ่งที่ยื่นออกนอกแนวทางไปหาขวากหนาม ตอนนี้...ได้ดัด ได้แต่ง ให้กลับมาเป็นปกติแล้ว ขอให้มีกำลังใจมุ่งมั่นปฏิบัติต่อไปนะลูก
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

ธรรมดาคนเรา หากพูดถึงอดีตชาติก็พูดถึงแต่ความยิ่งใหญ่ของตัวเอง กลับไม่สอดส่องดูเลยว่า ตัวเองเคยตกนรกขุมไหน เคยเป็นสัตว์อะไรมาบ้าง มัวแต่ทะนงตนว่าอยู่สูง เปรียบดั่งภาชนะ แม้ทำด้วยทองคำกลับแตกหักง่าย สู้ภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าวก็ไม่ได้ น่าแปลกใจดีแท้...
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

การก้าวเดินในการปฏิบัติธรรมของนักรบธรรม ภายใต้พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช จักต้องสง่างาม ทั้งภายนอกและภายใน เหมือนปฏิปทาของท่าน ทำอะไรอย่าให้กระเทือนถึงท่าน เปรียบดั่งการหลอมทองคำให้เป็นพระพุทธรูป จักต้องมีแต่ทองคำเท่านั้น อย่าให้มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนนะลูก
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

ธรรมะสั่งผม ราวๆตี 2 ครึ่ง (ก่อนลงไปนอน แล้วเดินทางต่อในตี 3 ครึ่ง)
พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูดอย่างอิดโรยจนผมสะเทือนใจมาถึงตอนนี้...ที่ท่านยังไม่ยอมพักหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันและคืนที่ 23-24 ต.ค. ว่า...
การแสดงความคิด ความเห็นในระหว่างที่เรายังไม่รู้ทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง ต้องใช้คำพูดที่ว่า ตัวเราเป็นเพียงผู้ศึกษา ยังไม่ใช่นักปฏิบัติ หรือผู้รู้ เพราะมีคนที่คอยติดตาม คอยปฏิบัติตามเราอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่คอยจ้องจักทำร้ายหรือกระทืบซ้ำเติมเราอยู่ มีทั้งเทพบุตรมาร มีทั้งมนุษย์ที่ใช้คำพูดดีๆแต่ใจเป็นมาร มารมันไม่ยอมให้เราหลุดพ้นจากอำนาจของมันไปได้ง่ายๆ นรก มนุษย์ สวรรค์ พรหม ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของมารทั้งนั้นเลย

กราบนอบน้อมบูชาพระคุณถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชด้วยความเคารพสูงยิ่ง

กราบ กราบ กราบ
กราบ กราบ
IT Man / 28 ต.ค. 2554

.........................................................................................................
ครูชาติ

เช้าวันนี้ผมรู้สึกดีใจปิติจนขนลุกซู่ เมื่อมาอ่านข้อความต่างๆ ของแต่ละท่าน จึงขออนุญาตยกข้อความของท่าน ดร.นนต์ และของคุณสันติ มาประกอบ
ยินดีกับท่าน ดร.นนต์ ด้วยนะครับที่ท่านเข้าใจสภาวะธรรม สามารถเข้าใจคำว่า "อวิชชา" และหันมาใช้ปัญญาพิจารณาธรรมตามสภาวะที่เป็นจริง ตอนแรกผมและนักรบธรรมหลายท่านก็ลุ้นอยู่ว่าท่านจะผ่านได้หรือเปล่า หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าคุณสันติ และคุณพิเชษฐ์หายไปจากเว็บบอร์ดไปเลย ซึ่งผมก็ได้กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นระยะ ท่านก็บอกว่าท่าจะพยายามลองดู หากเขามีวาสนา และบุญบารมียังมีอยู่ คุณงามความดีทั้งหลายจะทำให้เขามีความเห็นไปในทางที่ถูกต้องได้ ก็เป็นจริงดังที่ท่านกล่าว เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เดินทางไปโปรดโดยตรง และก็มีคณะหลวงปู่เทพโลกอุดรมานิมิตให้อีก นี่แหละพระธรรมมารักษาคุณดีย่อมมีสิ่งรักษา... ลองถามดูคุณอ้าน ดูนะครับบุญกุศลได้ช่วยให้เขาผ่านพ้นวิกฤตเหตุการณ์สูนามิที่ญี่ปุ่น เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็งงว่าทำให้เขาให้ออกจากงานที่ญี่ปุ่น พอกลับมาอยู่ที่บ้านได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์สูนามิที่ญี่ปุ่น จากนั้นก็มาสมัครสอบและได้ทำงานที่ ม.ราชภัฏมหาสารคาม รายละเอียดคงให้เจ้าตัวคือคุณอ้านมาเล่าให้ฟังอีกที....ท่าน ดร.นนต์ ก็เช่นกันหากหลงผิดผิดแล้วกลับตัวทันยังไม่สาย เพราะเป็นอดีตไปแล้ว ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น อดีตเก็บเอาไว้เตือนตนไม่ให้ทำอีกเท่านั้น ต่อไปนี้กองทัพธรรมของเราก็เดินหน้าต่อไปได้แล้ว...พวกเรานักรบธรรมทุกคนจะถือเอาเหตุการณ์นี้มาเป็นคติเตือนตน และต้องใช้ปัญญาให้มาก และพวกเราทุกคนยังเคารพและนับถือท่านดร.นนต์ เช่นเดิม พร้อมที่จะให้ท่านดร.นนต์ เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมที่จะร่วมกันสร้างบารมี โดยมีพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช เป็นผู้นำ คอยชี้แนะแนวทางถูกผิด เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมก็มีถูกบ้างผิดผิดผู้ที่อยู่สูงกว่าเราเท่านั้นจะรู้....
ขออนุญาตนำข้อความของคุณสันตที่กล่าวว่า "พ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าฯ ชื่อ พ.สุรเตโช ข้าฯขอตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะเกิดหรือดับอีกกี่ภพกี่ชาติ จะขอกราบเป็นศิษย์ของท่านและจักเดินตามรอยบาทของท่าน ทุกภพทุกชาติ ตราบจนกระทั่งถึงซึ่งความหลุดพ้นทั้งหลายทั้งปวงจากกิเลส เหตุแห่งทุกข์" ข้าพเจ้าก็ขอตั้งจิตอธิษฐานเช่นเดียวกับคุณสันติดังข้อความข้างต้น และผู้ที่จะช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ได้มีเพียงพ่อแม่ครูอาจารย์เท่านั้น ข้าพเจ้าขอมอบกาย ถวายแด่ท่าน และจะไม่อะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรม จะยึดเอาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งตลอดไป....
การประพฤติปฏิบัติต้องประกอบด้วยสติปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาและทำเหตุให้สมผล ทำไปเรื่อยๆ ไม่ท้อรับรองคงได้รับผลแน่นอน....ขอให้ทุกท่านจงเจริญในธรรม....
.........................................................................................................
ขออนุโมทนาบุญทุกประการ กับพี่สมบัติด้วยครับที่พ่อแม่ครูอาจารย์ ได้ไปโปรดที่บ้านที่แม่สอด โบราณกล่าวว่าที่ใดหนใดที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันตเจ้า ได้ไปโปรดที่แห่งนั้นจะมีแต่ความเจริญ ความร่มเย็น ความเป็นมงคล

พี่จะรับรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าวันเวลามันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวเช้า เดี๋ยวเย็น อ้าว...หมดวันแล้ว อ้าว...ผ่านไป 1 วัน 2 วัน 3 วัน....จนกระทั่งถึงวันที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านจะเดินทางกลับ ใจเราจะเบา ใจเราจะเย็น ใจเราจะสบาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะราบรื่นอย่างที่บางทีเราก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ ว่าทำไม มันถึงเป็นอย่างนั้น ประสบการณ์อย่างนี้ มันจะมีค่ากับชีวิตของเรามาก มันจะเป็นสิ่งที่เราคงต้องจดจำเอาไว้ ในหัวใจตลอดชีวิตครับ

พี่พิเชฐเคยแนะนำว่า ควรหาเครื่องบันทึกเสียง แล้วขออนุญาติพ่อแม่ครูอาจารย์ท่าน บันทึกคำสอนของท่านเอาไว้เพื่อศึกษา ซึ่งมีค่ามากเพราะเราคงจำได้ไม่หมดแน่ แต่ผมก็ลืมสุดท้ายได้แต่จำไว้ในใจ น่าเสียดายโดยแท้ ทุกวันนี้ก็พยายามนึกถึงคำสอนของท่านอยู่ตลอด ว่าหลังจากนั่งสมาธิจนจิตอิ่มตัวแล้ว จิตมันจะค่อยๆถอน จนมาถึงจุดหนึ่ง (ซึ่งในหนังสือของ หลวงพ่อทูล ท่านบอกว่า การปฏิบัติต้องเริ่มต้นจากการทำสมาธิ ให้มีความสงบไปก่อน เมื่อจิตมีความสงบแล้ว จะถอนตัวออกมาอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ แล้วน้อมไปสู่ปัญญา พิจารณาในสัจจธรรมตามความเป็นจริง) ให้เริ่มใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ในแต่ละวัน ที่เข้ามากระทบใจของเรา และก็พยายามทำบ่อยๆ ทำให้ชำนาญ เพื่อที่จะเข้าใจคำสอนของท่านยิ่งๆขึ้นไป

มีอยู่คืนนึงผมนั่งสมาธิที่หลังบ้าน (ปกติจะนั่งที่ห้องพระ) ขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ทำให้ขนหัวลุกซู่ และเย็นวาบไปทั้งร่างกาย ความรู้สึกอย่างนี้ผมเคยกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ ว่าเป็นเพราะเหตุไร ท่านบอกว่า ผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ทำความดีมีบุญ พวกเหล่ากายทิพย์ พวกวิญญาณต่างๆเขาจะรับรู้ และเห็นแสงในตัวของผู้นั้นทีจะสามารถขอส่วนบุญได้ ท่านแนะนำให้ทำสมาธิต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกจากสมาธิ แล้วค่อยแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เขาเหล่านั้น ซึ่งมีเทวดาด้วยไม่ใช่จะมีเฉพาะวิญญาณ เจ้าที่เจ้าทาง ฯลฯ อย่างเดียว

เรื่องเหล่านี้ผมเล่าจากประสบการณ์ของผม ให้เหล่าพี่น้อง นรธ.ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจ ในการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ส่วนท่านอื่นที่ผ่านเข้ามาอ่าน ถ้าเชื่อและได้รับประโยชน์ผมก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ถ้าไม่เชื่อก็อย่าได้ปรามาสกันนะครับ

( เพราะผมยกพ่อแม่ครูอาจารย์ของผมไว้เหนือหัวครับ ท่านสั่งสอนธรรมใดผมเชื่อและปฏิบัติตามสุดกายสุดใจ ครับ)
.........................................................................................................
ครูชาติ เมื่อ 30-11-2011, 11:38 AM


หลายคนอาจจะมองว่าผมหายหน้าไปไหน จริงๆ แล้วไม่ได้หายหน้าไปไหนเข้ามาแวะเวียนอ่านกระทู้ทุกๆ วัน แต่มีเวลาไม่ว่างพอจะแสดงความคิดเห็นผมขอเริ่มจาก ธรรมสัญจรครั้งที่ 1 ก็แล้วกันครับ
เส้นทางการเดินทางของเหล่านักรบธรรมจาก ธรรมะสัญจร ครั้งที่ 1 ณ สวนสันติธรรม (เดินทางไปอิสานใต้และภาคตะวันออก) ผมได้ร่วมเดินทางกับพ่อแม่ครูอาจารย์เพื่อไปโปรดญาติธรรมทางภาคตะวันออก และได้พำนัก ณ สวนสันติธรรม (บ้านคุณสันติ) ได้พบเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ขาดสายมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นซึ่งมองดูแล้วทุกคนต่างก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว....การไปครั้งนั้นก็ขออนุโมทนา และขอแสดงความยินดีกับคุณสันติและภรรยา ที่ให้บ้านสวนเป็นสถานที่พักและและเป็นสถานที่แสดงธรรมแก่เหล่านักรบธรรมทั้งหลาย บุญกุศลใดท่านท่านเคยทำมาแล้วในอดีตชาติก็ดี และในปัจจุบันชาติก็ดีขอให้บุญนั้นจะเป็นพลปัจจัยให้ท่านได้มรรคผลนิพานด้วยเทอญ....
จากนั้นผมได้ร่วมเดินทางไปธุดงค์กับพ่อแม่ครูอาจารย์ในธรรมสัญญจร ครั้งที่ 2 ณ บ้านคุณสมบัติ อ.แม่สอด จ.ตาก ก็ได้ญาติธรรมของคุณสมบัติ ที่แม่สอด และ ที่จ.แม่ฮ่องสอน แวะเวียนมาฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์เช่นกัน...การเดินทางไปครั้งนี้ได้พบเห็นเหตุการณ์หลายๆ อย่างและก็ได้ธรรมะมาสอนใจตนเองเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สภาวะธรรมที่เกิดกับคุณแม่ชม หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุณสมบัติ และคุณบี้ออกอาการเมารถ ทำให้รู้ว่าร่างกายของเราต้องการพักผ่อนอาหารของเขาก็ต้องพักผ่อนจึงจะไปต่อได้ เส้นทาเดินเต็มไปด้วยป่าเขาเส้นทางเดินอันคดเคียว ทำให้ร่างกายรับสถาพไม่ไหวจึงเกิดอาการเมารถ ทำให้ทราบได้ว่าร่างกายไม่ใช่ของๆ เราจริงๆ ทั้งที่ใจของเรายังสู้นั่งภาวนาไปด้วย หากร่างกายเรารับไม่ไหวก็แสดงออกมาอย่างนั้นทำให้เห็นสภาวะธรรมได้เลยว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วนกันมันไม่ใช่ของๆ เรา หากเป็นของเราแล้วต้องบอกมันได้....ซึ่งทำให้เราเห็นสภาวะธรรมจริงๆ ดั่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์พยายามพร่ำสอนเราอยู่เสมอว่า "กายกับจิตเป็นคนละซึ่งประกอบมาจากธาตุ 4 และขันธ์ 5 เราไม่สามารถบังคับมันได้" ท่านฝึกให้เราพยายามมองให้เห็นสภาวะธรรมของจริง... ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้ก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรมภาคปฏิบัติหลังจากเราได้ศึกษาหลักทฤฆฎีจากท่านแล้ว....
ท้ายที่สุดก็ขออนุโมทนากับผู้ใจบุญ ผู้มีจิตศรัทธาทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมกันเสียสละปัจจัยเป็นค่าพาหนะ ค่าอาหาร และค่าอื่นๆ ในการเดินทางธรรมสัญจร ทั้ง 2 ครั้งนี้ เหล่านักรบธรรมทั้งหลายก็รู้ซาบซึ้งในความคุณงามความดีของท่านทั้งหลาย....ก็ขออนุโมทนาด้วยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณงามความดีทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งอานิสงค์แห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมของพวกเราทั้งหลาย รวมทั้งคุณงามความดีที่ท่านได้กระทำมาแล้วในอดีตชาติก็ดี และในปัจจุบันชาติก็ดี จงเป็นพลปัจจัยให้ท่านและครอบครัวจงมีความสุขความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม หากท่านประพฤติปฏิบัติธรรมก็ขอให้พระธรรมจงคุ้มครองรักษาท่านให้ท่านได้บรรลุมรรคผลนิพพานด้วยเทอญ....สาธุ....
ขอให้เจริญในธรรม....