วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

33: ธรรมะสัญจร 17 พ.ย. 54 พระพุทธบาทสี่รอย

วัดพระพุทธบาทสี่รอย


สมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบัน ได้เสด็จาริกประกาศธรรมมายังปัจจันตประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ได้เสด็จมาถึงทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา "เวภารบรรพต" ได้เสด็จมาพร้อมกับพุทธสาวก ๕๐๐ องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อฉันจังหันแล้วก็ทราบด้วยญานสมบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ มีรอยพระพุทธบาทเจ้าประทับอยู่แล้วถึง ๓ พระองค์ พระสารีบุตรได้ทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด จึงตรัสตอบว่า ในอดีตกาลมีพระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาทไว้แล้วในที่เดียวกัน ๓ พระองค์ ดังนั้นพระองค์จะประทับไว้เป็นรอยที่สี่ และต่อไปแม้นว่าพระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรย์จักเสด็จมาอีก จะมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ สถานที่แห่งนี้อีก แต่จะประทับแล้วจะลบรอยทั้ง ๔ รวมทั้งรอยที่ ๕ ลบให้เหลือเพียงรอยเดียว เมื่อตรัสแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทที่ประทับอยู่แล้ว ๓ รอยนั้นรวมเป็นสี่รอยด้วยกัน

รอยพระพุทธบาททั้ง ๔ รอย ต้องถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะประทับอยู่บนแผ่นศิลาซึ่งโผล่พ้นดินขึ้นมาสูงทีเดียว ดั้งเดิมต้องปีนขึ้นไปดู แต่ปัจจุบันมีบันไดขึ้น มีวิหารสร้างครอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พระพุทธบาทนั้นไม่ใช่สักแต่ว่ามีรอยพระบาท จะต้องมีรูปธรรมจักรปรากฏด้วย ไม่ใช่ไปเจอหินที่ไหนมีหลุมลึกยุบลงไปก็โมเมว่าเป็นรอยพระพุทธบาทหมด

รอยพระพุทธบาทสี่รอยประกอบด้วย
1. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยที่ ๑ ยาว ๑๒ ศอก (๖ เมตร)
2. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ รอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
3. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ รอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
4. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ รอยที่ ๔ ยาว ๔ ศอก

พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิษฐานว่า เมื่อเราคถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายจักนำเอาพระธาตุของเราตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้ และเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้จักปรากฏแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มากราบไหว้บูชา เมื่อทรงอธิษฐานแล้ว ก็เสด็จไปยังเชตวันอาราม ในเมืองสาวัตถี

๒,๐๐๐ ปีล่วงไป เทวดาประสงค์ให้พระพุทธบาทปรากฏแก่ตาปวงชน จึงนิมิตพญาเหยี่ยวบินลงมาจากภูเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งของพระพุทธบาทสี่รอย ให้ลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้านที่อยู่เชิงเขาแล้วบินกลับขึ้นไปบนภูเขา พรานประจำหมู่บ้านโกรธมาก จึงตามขึ้นไปบนเขาเพื่อฆ่าเหยี่ยวแต่หาไม่พบ แต่กลับไปพบรอยพระพุทธบาทสี่รอย อยู่บนพื้นหินใต้การปกคลุมของพืชพันธุ์ไม้ พรานเชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจึงทำการสัการะบูชาแล้วกลับลงมาจากเขามาบอกชาวบ้าน ชาวบ้านก็พากันไปกราบไหว้บูชาและได้ชื่อว่า "พระบาทรังรุ้ง" (รังเหยี่ยว)

มาถึงสมัยพระยาเม็งรายเสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ (ไม่แน่ใจว่าองค์เดียวกับที่สร้างเชียงใหม่หรือไม่ ) ได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพร้อมด้วยราชเทวีและข้าราชบริพาร และต่อจากนั้นมาผู้สืบราชสมบัติ ก็ถือเป็นประเพณีว่า เมื่อขึ้นครองราชย์ที่เชียงใหม่แล้ว จะต้องขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทรังรุ้ง เลยได้นามใหม่ว่า พระพุทธบาทสี่รอย

มาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือกผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ได้ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย จึงได้สร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้เป็นการชั่วคราว และได้สร้างแท่นนั่งร้านขึ้นรอบรอยพระพุทธบาท เพื่อไม่ให้ต้องปีนบันได และทำให้ฝ่ายหญิงได้ขึ้นไปมองเห็นนมัสการได้ และสร้างหลังคาชั่วคราวมุงเอาไว้

เจ้าดารารัศมี ได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และมีพระราชศรัทธาก่อสร้างวิหารเป็นการกราบบูชาพระพุทธบาท (ปัจจุบันคือหลังที่อยู่ตรงทางขึ้นบันได พอพ้นบันไดก็ถึงวิหารหลังนี้) ได้เสด็จขึ้นไปสร้างไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑

พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้รื้อวิหารที่พระเจ้าธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราวนั้นออกเสีย เพราะผุพังหมดแล้วและได้สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทขึ้นใหม่ แล้วฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาไปชั่วกาลนาน

จากสานส์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่า "พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดของไทย" ครูบาอาจารย์ พระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบ หลวงปู่สิม เป็นต้น ล้วนแต่ขึ้นไปนมัสการมาแล้วทั้งสิ้น

ความสำเร็จในการพัฒนาให้ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากพระภิกษุหนุ่มที่ถือว่าต้องทรงวิทยาคุณเป็นอย่างสูงคือพระพรชัย ปิยวัณโณ ซึ่งท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ นี่เอง นับถึงวันที่ผมเขียนก็มีอายุเพียง ๓๔ ปี นับว่าหนุ่มมากสำหรับพระที่กล้าไปอยู่องค์เดียว ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้ และอยู่เป็นเวลานานถึง ๙ ปี คือเป็นเณร ๑ ปี เป็นพระอีก ๑๘ ปี ท่านบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี พออายุ ๑๖ ปี ก็สอบนักธรรมเอกได้ ธุดงค์มาพักอยู่ที่วัดรางสันป่าตึง วัดพระเจ้าตนหลวง ตำบลสันป่ายาง ที่เชิงเขาพระพุทธบาทสี่รอย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ อยู่ได้สัก ๒ เดือน ได้นิมิตเห็นปราสาทหลังใหญ่โตงดงามมากอยู่บนเขาสูง ได้ขึ้นบันไดไปก็พบรอยพระพุทธบาทอยู่ในปราสาท เมื่อวันรุ่งขึ้นออกบิณฑบาตเล่าให้โยม ๆ ฟังก็บอกว่าบนเขามีรอยพระพุทธบาท มีวัดแต่มักจะเป็นวัดร้าง เพราะพระเณรมักอยู่อาศัยไม่ได้ท่านจะขึ้นไปชาวบ้านก็ห้าม สุดท้ายพอเวลาตีสองท่านก็ขึ้นไปยังพระพุทธบาทสี่รอย เดินไปเป็นระยะทางประมาณ ๒๒ กม. และไปอยู่ประจำองค์เดียว ๑ ปี เป็นเณร ๘ ปี เป็นพระจนปีที่ ๘ จึงเริ่มมีพระมาจำพรรษาด้วยมากถึง ๑๑ รูป ต่อจากนั้นท่านก็เลยเริ่มบูรณะวัด เริ่มตั้งแต่วิหารเจ้าดารารัศมี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สร้างกุฏิทรงล้านนา สร้างมหาเจดีย์ สร้างอุโบสถที่งดงามหลังโตเหมือนปราสาทที่ท่านนิมิตนั่นแหละ

ท่านต้องต่อสู้กับความวิเวก กับสัตว์ป่าด้วยการแผ่เมตตา สู้กับความอดอยากสารพัดที่จะสู้ทุกรูปแบบ ถ้าไม่ไปเห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าพระภิกษุอายุเพียงเท่านี้จะทำได้ขนาดนี้ และท่านถือว่าไม่ต้องไปบอกบุญใคร อาศัยพระบารมีของพระพุทธบาท อธิษฐานขอจากปวงเทพเทวาว่าจะสร้างโบสถ์ ให้เป็นไปตามหน้าบุญ "มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน มีก็เอา ไม่มีก็ไม่เอา ใครจะมาทำบุญก็มา" แล้วอธิษฐานขอจากครูบาศรีวิลัย เทพเทวา ไม่วุ่นวาย ไม่ยึดติด
ดังนั้นทั่วบริเวณวัดจึงมีแต่ความเงียบสงบ น่าเลื่อมใส ใครไปก็จะไปนั่งสวดมนต์ภาวนาที่วิหารที่สร้างครอบพระพุทธบาทเอาไว้ นั่งสวดมนต์ด้วยความสงบ ด้วยใจที่เป็นสุข

http://www1.mod.go.th/heritage/nation/tour/prabat4.htm
ราวๆบ่ายโมงกว่า ก็ขึ้นสู่ภูเขาสูง คดเคี้ยว ตามข้างทางมีทุ่งใบชา ทิวทัศน์สวยงามมากๆ (รถเก๋งไม่น่าจะขึ้นได้) เพื่อขึ้นสู่ดินแดนแห่งพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสี่ในภัทรกัป ทรงประทับไว้ในสมัยพุทธกาลของแต่ละพระองค์

- ภาพแรกจะเป็นเทวดาผุ้พิทักษ์รักษาพระพุทธบาทสสี่รอย องค์สุดท้ายเป็นพระนางมณีเมขลา แต่ละองค์มองขึ้นไปยังท้องฟ้า

ทางขึ้น

ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย:ชีวิตนี้ต้องมาให้ได้

 

คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010563.JPG
Views: 118
Size: 290.6 KB
ID: 1775168 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010564.JPG
Views: 119
Size: 265.6 KB
ID: 1775169 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010565.JPG
Views: 14
Size: 284.0 KB
ID: 1775170
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010566.JPG
Views: 394
Size: 242.1 KB
ID: 1775171 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010567.JPG
Views: 11
Size: 195.9 KB
ID: 1775172 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010569.JPG
Views: 11
Size: 306.8 KB
ID: 1775174
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010571.JPG
Views: 394
Size: 182.5 KB
ID: 1775175 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010572.JPG
Views: 396
Size: 419.4 KB
ID: 1775176 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010573.JPG
Views: 12
Size: 258.8 KB
ID: 1775177
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010575.JPG
Views: 10
Size: 204.8 KB
ID: 1775178 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010578.JPG
Views: 390
Size: 167.9 KB
ID: 1775179 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4898.JPG
Views: 109
Size: 284.6 KB
ID: 1775340 

องค์พระพุทธบาทสี่รอย

จากคำแนะนำของพ่อแม่ครูอาจารย์ สั่งให้พวกเราได้ช่วยกันทำความสะอาดบริเวณโดยรอบๆด้วยความเคารพก่อน

กราบ กราบ กราบ
- พ่อแม่ครูอาจารย์เห็นคนนั่งสมาธิอยู่ก็เกรงจะไปรบกวนเขา 

- แต่พวกเราจำต้องสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย ขอขมา นั่งสมาธิแผ่เมตตาแต่เพียงเบาๆแม้ไม่นานนัก 

แต่กลับทรงไว้ซึ่งคุณค่าอย่างยอดเยี่ยม จนพวกเราทุกคนต่างปีติ บังเกิดธรรมสังเวช ร้องไห้น้ำตาไหล..

- สำหรับผมแล้ว ชั่งมากมายเป็นที่สุดจะกลั้นไว้ได้

พวกเราจึงขอนอบน้อมก้มลงกราบลงแทบเท้าองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ทรงซึ่งกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ตามลำดับ


จากนั้น...คุณแม่ชมจึงได้ขออนุญาตพ่อแม่ครูอาจารย์ในการสงเคราะห์ทองคำเปลว ดอกดาวเรือง(สัญลักษณ์ความรุ่งเรือง) และน้ำทิพย์บนอุ้งฝ่าพระพระพุทธบาท 

ขออนุญาตท่านนำไปนอบน้อมบูชาเป็นพุทธานุสติ เป็นศิริมงคล เป็นกำลังใจในการปฏิบัติบูชาต่อไป

ญาติธรรมที่เข้ามารับการสรงน้ำทิพย์ โดยบังเอิญ

ลงมา:ร่วมถ่ายรูปด้านหน้ารูปปั้นครูบาศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา


จากนั้นก็ได้เข้าไปในพระอุโบสถวิหารด้านใน
กราบพระพุทธรูป และชมพระเจ้าอินทร์สาน ร่วมกัน




คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4919.JPG
Views: 110
Size: 189.6 KB
ID: 1775249 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4920.JPG
Views: 7
Size: 207.3 KB
ID: 1775250 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4921.JPG
Views: 111
Size: 223.7 KB
ID: 1775251
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4923.JPG
Views: 110
Size: 306.2 KB
ID: 1775252 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4926.JPG
Views: 6
Size: 265.8 KB
ID: 1775253 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4929.JPG
Views: 6
Size: 321.6 KB
ID: 1775254 
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010594.JPG
Views: 112
Size: 272.1 KB
ID: 1775273 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010596.JPG
Views: 6
Size: 256.8 KB
ID: 1775274
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4930.jpg
Views: 108
Size: 336.0 KB
ID: 1775255 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4933.jpg
Views: 6
Size: 341.3 KB
ID: 1775256 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010590.JPG
Views: 6
Size: 380.4 KB
ID: 1775270คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: DSCN4934.JPG
Views: 6
Size: 209.6 KB
ID: 1775257 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010587.JPG
Views: 6
Size: 209.0 KB
ID: 1775266 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010588.JPG
Views: 8
Size: 255.4 KB
ID: 1775268 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010589.JPG
Views: 8
Size: 319.0 KB
ID: 1775269  คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010591.JPG
Views: 111
Size: 209.8 KB
ID: 1775271 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1010597.JPG
Views: 111
Size: 244.6 KB
ID: 1775272
......................................................
หลังจากที่พวกเราเสร็จสิ้นการสักการะรอยพระพุทธบาทดังข้างต้นแล้ว ขณะที่เดินลงมา พ่อแม่ครูอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า ได้รับน้ำมนต์กันหรือยัง ผมงงเล็กน้อย สักพักก็มีเม็ดน้ำร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าถูกตัวเรา พอให้รู้ว่า เป็นน้ำมนต์ที่ประพรมลงมาจากเบื้องบน ทุกคนก็ได้รับเช่นกัน ทั้งที่ท้องฟ้าในวันนั้นยังมีแดดจ้าอยู่ ผมมารับทราบจากเพื่อนที่เป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ ในตอนเย็น เธอก็เล่าให้ฟังว่า เธอพึ่งไปกราบสักการะพระพุทธบาทสี่รอยมาก็ปรากฏเบื้องบนประพรมน้ำมนต์ให้เธอเช่นกัน ช่างมหัศจรรย์จริงๆหนอ ผมเองหรือแม้แต่คุณสมบัติ ก็เคยอธิษฐานจิตว่าอยากไปกราบพระพุทธบาทสี่ร้อยพร้อมกันแต่กำหนดไว้ว่าจะเป็นปีหน้า แต่พวกเราก็ได้เดินทางมาสักการะก่อนกำหนด ซึ่งเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของพุทธศาสนิกชนที่ควรมาสักการะสักครั้ง เป้าหมายต่อไปคือ สังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียเป็นกำหนดการต่อไปของเหล่านักรบธรรมที่จะไปให้ถึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต โปรดรอติดตามนะครับ


ขอเจริญในธรรม

ดร.นนต์

27 พฤศจิกายน 2554
วิหารพระอุโบสถ (ภาพภายนอก)


 
ตอนแรกตั้งเป้าหมายว่าจะเดินทางต่อไปยังถ้ำเชียงดาว แต่พอมาดูวัน/เวลาแล้วคิดว่าไม่เพียงพอ 

จึงได้เบนเข็มทิศย้อนกลับมาเชียงใหม่ เพื่อกราบสักการะพระธาตุดอยสุเทพ นอนพักผ่อน 1 คืน จากนั้นค่อยเดินทางกลับ

- ระหว่างทางพบวัดนี้อายุประมาณ 1,300 ปี ได้แวะเข้าไปทำบุญเสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังดอยสุเทพ ก่อนจะมืดค่ำ