สมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบัน ได้เสด็จาริกประกาศธรรมมายังปัจจันตประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน) ได้เสด็จมาถึงทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา "เวภารบรรพต" ได้เสด็จมาพร้อมกับพุทธสาวก ๕๐๐ องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อฉันจังหันแล้วก็ทราบด้วยญานสมบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ มีรอยพระพุทธบาทเจ้าประทับอยู่แล้วถึง ๓ พระองค์ พระสารีบุตรได้ทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด จึงตรัสตอบว่า ในอดีตกาลมีพระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาทไว้แล้วในที่เดียวกัน ๓ พระองค์ ดังนั้นพระองค์จะประทับไว้เป็นรอยที่สี่ และต่อไปแม้นว่าพระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรย์จักเสด็จมาอีก จะมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ สถานที่แห่งนี้อีก แต่จะประทับแล้วจะลบรอยทั้ง ๔ รวมทั้งรอยที่ ๕ ลบให้เหลือเพียงรอยเดียว เมื่อตรัสแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทที่ประทับอยู่แล้ว ๓ รอยนั้นรวมเป็นสี่รอยด้วยกัน
รอยพระพุทธบาททั้ง ๔ รอย ต้องถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะประทับอยู่บนแผ่นศิลาซึ่งโผล่พ้นดินขึ้นมาสูงทีเดียว ดั้งเดิมต้องปีนขึ้นไปดู แต่ปัจจุบันมีบันไดขึ้น มีวิหารสร้างครอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พระพุทธบาทนั้นไม่ใช่สักแต่ว่ามีรอยพระบาท จะต้องมีรูปธรรมจักรปรากฏด้วย ไม่ใช่ไปเจอหินที่ไหนมีหลุมลึกยุบลงไปก็โมเมว่าเป็นรอยพระพุทธบาทหมด
รอยพระพุทธบาทสี่รอยประกอบด้วย
1. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยที่ ๑ ยาว ๑๒ ศอก (๖ เมตร)
2. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ รอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
3. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ รอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
4. พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ รอยที่ ๔ ยาว ๔ ศอก
พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิษฐานว่า เมื่อเราคถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายจักนำเอาพระธาตุของเราตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้ และเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้จักปรากฏแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มากราบไหว้บูชา เมื่อทรงอธิษฐานแล้ว ก็เสด็จไปยังเชตวันอาราม ในเมืองสาวัตถี
๒,๐๐๐ ปีล่วงไป เทวดาประสงค์ให้พระพุทธบาทปรากฏแก่ตาปวงชน จึงนิมิตพญาเหยี่ยวบินลงมาจากภูเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งของพระพุทธบาทสี่รอย ให้ลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้านที่อยู่เชิงเขาแล้วบินกลับขึ้นไปบนภูเขา พรานประจำหมู่บ้านโกรธมาก จึงตามขึ้นไปบนเขาเพื่อฆ่าเหยี่ยวแต่หาไม่พบ แต่กลับไปพบรอยพระพุทธบาทสี่รอย อยู่บนพื้นหินใต้การปกคลุมของพืชพันธุ์ไม้ พรานเชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจึงทำการสัการะบูชาแล้วกลับลงมาจากเขามาบอกชาวบ้าน ชาวบ้านก็พากันไปกราบไหว้บูชาและได้ชื่อว่า "พระบาทรังรุ้ง" (รังเหยี่ยว)
มาถึงสมัยพระยาเม็งรายเสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ (ไม่แน่ใจว่าองค์เดียวกับที่สร้างเชียงใหม่หรือไม่ ) ได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพร้อมด้วยราชเทวีและข้าราชบริพาร และต่อจากนั้นมาผู้สืบราชสมบัติ ก็ถือเป็นประเพณีว่า เมื่อขึ้นครองราชย์ที่เชียงใหม่แล้ว จะต้องขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทรังรุ้ง เลยได้นามใหม่ว่า พระพุทธบาทสี่รอย
มาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือกผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ได้ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย จึงได้สร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้เป็นการชั่วคราว และได้สร้างแท่นนั่งร้านขึ้นรอบรอยพระพุทธบาท เพื่อไม่ให้ต้องปีนบันได และทำให้ฝ่ายหญิงได้ขึ้นไปมองเห็นนมัสการได้ และสร้างหลังคาชั่วคราวมุงเอาไว้
เจ้าดารารัศมี ได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และมีพระราชศรัทธาก่อสร้างวิหารเป็นการกราบบูชาพระพุทธบาท (ปัจจุบันคือหลังที่อยู่ตรงทางขึ้นบันได พอพ้นบันไดก็ถึงวิหารหลังนี้) ได้เสด็จขึ้นไปสร้างไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑
พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยและได้รื้อวิหารที่พระเจ้าธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราวนั้นออกเสีย เพราะผุพังหมดแล้วและได้สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทขึ้นใหม่ แล้วฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาไปชั่วกาลนาน
จากสานส์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่า "พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดของไทย" ครูบาอาจารย์ พระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบ หลวงปู่สิม เป็นต้น ล้วนแต่ขึ้นไปนมัสการมาแล้วทั้งสิ้น
ความสำเร็จในการพัฒนาให้ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากพระภิกษุหนุ่มที่ถือว่าต้องทรงวิทยาคุณเป็นอย่างสูงคือพระพรชัย ปิยวัณโณ ซึ่งท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ นี่เอง นับถึงวันที่ผมเขียนก็มีอายุเพียง ๓๔ ปี นับว่าหนุ่มมากสำหรับพระที่กล้าไปอยู่องค์เดียว ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้ และอยู่เป็นเวลานานถึง ๙ ปี คือเป็นเณร ๑ ปี เป็นพระอีก ๑๘ ปี ท่านบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี พออายุ ๑๖ ปี ก็สอบนักธรรมเอกได้ ธุดงค์มาพักอยู่ที่วัดรางสันป่าตึง วัดพระเจ้าตนหลวง ตำบลสันป่ายาง ที่เชิงเขาพระพุทธบาทสี่รอย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ อยู่ได้สัก ๒ เดือน ได้นิมิตเห็นปราสาทหลังใหญ่โตงดงามมากอยู่บนเขาสูง ได้ขึ้นบันไดไปก็พบรอยพระพุทธบาทอยู่ในปราสาท เมื่อวันรุ่งขึ้นออกบิณฑบาตเล่าให้โยม ๆ ฟังก็บอกว่าบนเขามีรอยพระพุทธบาท มีวัดแต่มักจะเป็นวัดร้าง เพราะพระเณรมักอยู่อาศัยไม่ได้ท่านจะขึ้นไปชาวบ้านก็ห้าม สุดท้ายพอเวลาตีสองท่านก็ขึ้นไปยังพระพุทธบาทสี่รอย เดินไปเป็นระยะทางประมาณ ๒๒ กม. และไปอยู่ประจำองค์เดียว ๑ ปี เป็นเณร ๘ ปี เป็นพระจนปีที่ ๘ จึงเริ่มมีพระมาจำพรรษาด้วยมากถึง ๑๑ รูป ต่อจากนั้นท่านก็เลยเริ่มบูรณะวัด เริ่มตั้งแต่วิหารเจ้าดารารัศมี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สร้างกุฏิทรงล้านนา สร้างมหาเจดีย์ สร้างอุโบสถที่งดงามหลังโตเหมือนปราสาทที่ท่านนิมิตนั่นแหละ
ท่านต้องต่อสู้กับความวิเวก กับสัตว์ป่าด้วยการแผ่เมตตา สู้กับความอดอยากสารพัดที่จะสู้ทุกรูปแบบ ถ้าไม่ไปเห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าพระภิกษุอายุเพียงเท่านี้จะทำได้ขนาดนี้ และท่านถือว่าไม่ต้องไปบอกบุญใคร อาศัยพระบารมีของพระพุทธบาท อธิษฐานขอจากปวงเทพเทวาว่าจะสร้างโบสถ์ ให้เป็นไปตามหน้าบุญ "มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน มีก็เอา ไม่มีก็ไม่เอา ใครจะมาทำบุญก็มา" แล้วอธิษฐานขอจากครูบาศรีวิลัย เทพเทวา ไม่วุ่นวาย ไม่ยึดติด
ดังนั้นทั่วบริเวณวัดจึงมีแต่ความเงียบสงบ น่าเลื่อมใส ใครไปก็จะไปนั่งสวดมนต์ภาวนาที่วิหารที่สร้างครอบพระพุทธบาทเอาไว้ นั่งสวดมนต์ด้วยความสงบ ด้วยใจที่เป็นสุข
http://www1.mod.go.th/heritage/nation/tour/prabat4.htm
ราวๆบ่ายโมงกว่า ก็ขึ้นสู่ภูเขาสูง คดเคี้ยว ตามข้างทางมีทุ่งใบชา ทิวทัศน์สวยงามมากๆ (รถเก๋งไม่น่าจะขึ้นได้) เพื่อขึ้นสู่ดินแดนแห่งพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสี่ในภัทรกัป ทรงประทับไว้ในสมัยพุทธกาลของแต่ละพระองค์
- ภาพแรกจะเป็นเทวดาผุ้พิทักษ์รักษาพระพุทธบาทสสี่รอย
องค์สุดท้ายเป็นพระนางมณีเมขลา แต่ละองค์มองขึ้นไปยังท้องฟ้า
ทางขึ้น
ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย:ชีวิตนี้ต้องมาให้ได้
องค์พระพุทธบาทสี่รอย
จากคำแนะนำของพ่อแม่ครูอาจารย์
สั่งให้พวกเราได้ช่วยกันทำความสะอาดบริเวณโดยรอบๆด้วยความเคารพก่อน
กราบ กราบ กราบ
- พ่อแม่ครูอาจารย์เห็นคนนั่งสมาธิอยู่ก็เกรงจะไปรบกวนเขา
-
แต่พวกเราจำต้องสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย ขอขมา
นั่งสมาธิแผ่เมตตาแต่เพียงเบาๆแม้ไม่นานนัก
แต่กลับทรงไว้ซึ่งคุณค่าอย่างยอดเยี่ยม จนพวกเราทุกคนต่างปีติ บังเกิดธรรมสังเวช
ร้องไห้น้ำตาไหล..
-
สำหรับผมแล้ว ชั่งมากมายเป็นที่สุดจะกลั้นไว้ได้
พวกเราจึงขอนอบน้อมก้มลงกราบลงแทบเท้าองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ทรงซึ่งกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ตามลำดับ
จากนั้น...คุณแม่ชมจึงได้ขออนุญาตพ่อแม่ครูอาจารย์ในการสงเคราะห์ทองคำเปลว
ดอกดาวเรือง(สัญลักษณ์ความรุ่งเรือง) และน้ำทิพย์บนอุ้งฝ่าพระพระพุทธบาท
ขออนุญาตท่านนำไปนอบน้อมบูชาเป็นพุทธานุสติ เป็นศิริมงคล
เป็นกำลังใจในการปฏิบัติบูชาต่อไป
ญาติธรรมที่เข้ามารับการสรงน้ำทิพย์ โดยบังเอิญ
ลงมา:ร่วมถ่ายรูปด้านหน้ารูปปั้นครูบาศรีวิชัย
ตนบุญแห่งล้านนา

จากนั้นก็ได้เข้าไปในพระอุโบสถวิหารด้านใน
กราบพระพุทธรูป และชมพระเจ้าอินทร์สาน ร่วมกัน



กราบพระพุทธรูป และชมพระเจ้าอินทร์สาน ร่วมกัน
......................................................
หลังจากที่พวกเราเสร็จสิ้นการสักการะรอยพระพุทธบาทดังข้างต้นแล้ว
ขณะที่เดินลงมา พ่อแม่ครูอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า ได้รับน้ำมนต์กันหรือยัง ผมงงเล็กน้อย
สักพักก็มีเม็ดน้ำร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าถูกตัวเรา พอให้รู้ว่า
เป็นน้ำมนต์ที่ประพรมลงมาจากเบื้องบน ทุกคนก็ได้รับเช่นกัน
ทั้งที่ท้องฟ้าในวันนั้นยังมีแดดจ้าอยู่
ผมมารับทราบจากเพื่อนที่เป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
จ.เชียงใหม่ ในตอนเย็น เธอก็เล่าให้ฟังว่า
เธอพึ่งไปกราบสักการะพระพุทธบาทสี่รอยมาก็ปรากฏเบื้องบนประพรมน้ำมนต์ให้เธอเช่นกัน
ช่างมหัศจรรย์จริงๆหนอ ผมเองหรือแม้แต่คุณสมบัติ
ก็เคยอธิษฐานจิตว่าอยากไปกราบพระพุทธบาทสี่ร้อยพร้อมกันแต่กำหนดไว้ว่าจะเป็นปีหน้า
แต่พวกเราก็ได้เดินทางมาสักการะก่อนกำหนด
ซึ่งเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของพุทธศาสนิกชนที่ควรมาสักการะสักครั้ง
เป้าหมายต่อไปคือ
สังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียเป็นกำหนดการต่อไปของเหล่านักรบธรรมที่จะไปให้ถึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต
โปรดรอติดตามนะครับ
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
27 พฤศจิกายน 2554
วิหารพระอุโบสถ (ภาพภายนอก)
ตอนแรกตั้งเป้าหมายว่าจะเดินทางต่อไปยังถ้ำเชียงดาว
แต่พอมาดูวัน/เวลาแล้วคิดว่าไม่เพียงพอ
จึงได้เบนเข็มทิศย้อนกลับมาเชียงใหม่ เพื่อกราบสักการะพระธาตุดอยสุเทพ
นอนพักผ่อน 1 คืน จากนั้นค่อยเดินทางกลับ
- ระหว่างทางพบวัดนี้อายุประมาณ 1,300 ปี
ได้แวะเข้าไปทำบุญเสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังดอยสุเทพ
ก่อนจะมืดค่ำ