วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

34: ธรรมะสัญจร 17 พ.ย. 54 พระธาตุดอยสุเทพ

ณ พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่


- เสร็จจากที่นี่ก็เข้าพักที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ
18 พ.ย. 2554
- ในภาคเช้า ได้สนทนา-ฟังธรรมชุดใหญ่ กราบขอขมาฯ
- ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ลำปาง,พักถวายภัตตาหารระหว่างทาง
- แวะที่จุดซื้อของฝากที่อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
- เสร็จแล้วไปส่งผมที่ท่ารถลำปาง(ประมาณบ่ายสอง)
- ผมถึงแม่สอดประมาณ 5 โมงครึ่งครับ
ต้นขนุน: พระนางจามเทวีทรงปลูกไว้คู่กันกับที่วัดพระธาตุลำปางหลวง (ปัจจุบันยังอยู่ดีทั้งสองต้น)
วิวเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืน...ใช้ไฟเปลืองมาก...


ซึ้งบน: 
ขออนุโมทนาบุญทุกประการครับ
ธรรมะสัญจรครั้งที่ 2 สำเร็จลุล่วง น่าประทับใจครับ ดีใจและปลื้มใจกับพี่สมบัติด้วยครับ ความทรงจำอย่างนี้มีค่ามากจริงๆ พี่ว่ามั้ย


IT Man:
ครับผม ช่างมีคุณค่ามากๆและวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สมดั่งที่คุณซึ้งบนเคยบอกผมแต่คราแรกๆ ให้หายกังวลใจครับ

ความประทับใจนั่นเล่า...ผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนลงไปในบอร์ดอย่างไรดี สังเกตุดูว่า...ผมทิ้งช่วงไปตั้งสิบวัน สุดท้าย...ก็ได้แต่ลงภาพให้ชมกันไปก่อน

จะเห็นเป็นรูปธรรมได้ว่า ความพากเพียรที่จะนำเสนอให้เห็นภาพ ทั้งคัดภาพ ทั้งตัดต่อ ทั้งย่อ ทั้งพิมพ์บรรยายย่อๆ (ปราศจากธรรมอันละเอียดที่แฝงอยู่ในใจ) ยังเทียบไม่ได้กับความพากเพียรที่พยายามจะเพียรถอนกิเลสอันละเอียดแนบแน่นของพวกเราเหล่านักรบธรรม ที่พยายามจะเกาะกลุ่มกันไป ดึงกันไป เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันไป ให้ถึงฟากฝั่ง ให้ได้รู้ธรรมเฉกเช่นกัน

ในอีกสิ่งหนึ่งที่ผมตระหนัก สำนึกรู้ระหว่างการจาริกธรรมอยู่เสมอว่า พวกเราพี่น้อง ต่างรอฟัง รอชมภาพกิจกรรม ธรรมสัญจรอันทรงค่าครั้งนี้ แม้ขณะกิน ขณะนอน ขณะภาวนา ผมเองนึกถึงเพื่อนๆพี่ๆอยู่เสมอ เกรงจะผิดหวังในผลการปฏิบัติจริงนี้กันครับ

ดังนั้น...แม้ท่านไม่ได้ไปเอง ได้แต่คอยส่งแรงใจไปร่วม ขอรับรองว่าพวกเราส่งบุญกุศลย้อนกลับไปยังทุกๆท่านที่รอคอยอยู่เสมอ ทุกๆขณะจิตรู้อย่างแน่นอนครับ
......................................................
ธรรมะที่คุณซึ้งบน post ไว้และเพื่อนนรธ.พิมพ์เข้ามาทักทาย ผมได้อ่านถวายพ่อแม่ครูอาจารย์กับให้คุณแม่ชมและคณะฟังแล้ว สังเกตุดูว่าท่านทั้งสองมีความปีติยินดีในผลแห่งการปฏิบัติจริงแล้วได้ผลจริงของคุณซึ้งบนเป็นอย่างยิ่ง

ท่านเตือนผมว่า "ท่านไม่ได้ปรารถนาศิษย์ สาวก ผู้ติดตามจำนวนมากแต่อย่างใดเลย แต่ท่านปรารถนาแสดงธรรม ชี้ทางธรรม เปลี่ยนคนให้รู้ธรรม แม้จะเพียงน้อยนิด แต่ให้เป็นไปในทางที่ถูกธรรม (ไม่ใช่ถูกใจ) และไม่เคยเหน็ดเหนื่อยที่จะพร่ำสอนแต่ประการใดเลย"

นนต์:
สภาวะธรรรมที่เกิดขึ้นแต่ละวันนั้น มีความละเอียดมาก หากจะเขียนให้ใกล้กับความจริงคงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะสภาวะที่เกิดขึ้นนั้น บางอย่างมันก็เป็นอจินไตย บางอย่างก็เป็นปัตจัตตัง บางอย่างก็เป็นอุบายธรรม บางอย่างก็เป็นสิ่งเข้ามาทดสอบ บางอย่างก็เข้ามาเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ หากบุคคลทั่วไปอาจมองเห็นเป็นเรื่องท่องเที่ยวหรือเป็นสารคดีทั่วไป ซึ่งก็ถูกต้อง แต่เหล่านักรบธรรมและพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่คิดเช่นนั้น การรับรู้ภายในของเหล่านักรบธรรม ย่อมประจักษ์แก่ใจและเกินกว่าที่จะอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม ผมจะพยายามเรียบเรียงออกมาตามสติปัญญาของผมที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใฝ่ในธรรมทุกๆคน ค่อยๆติดตามไปนะครับ

พรุ่งนี้ ผมจะเข้ามาเสริมท่านสมบัติในแต่ละช่วงจนกว่าจะจบตอนสมบูรณ์

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
23 พฤศจิกายน 2554


IT Man:
การจะเรียบเรียงถ้อยธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์เพื่อนำเสนอ ย่อมเป็นเรื่องยากของพวกเรา นรธ.(นักเรียนธรรม)ที่ยังเรียกได้ว่าเป็นเพียงเด็กอนุบาล ซึ่งยังไม่อาจเรียกว่าเป็นนักศึกษาธรรมได้เลย

ผมจำได้ว่าตอนที่อ่านประวัติหลวงปู่แหวน เมื่อท่านเข้าไปหาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เพื่อขอเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติ ซึ่งเรารับรู้กันดีว่าหลวงปู่แหวนก็ศึกษาปฏิบัติมาพอสมควรแล้ว แต่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นได้บอกว่า "ตำหรับตำรา ความรู้ทุกอย่างที่เรียนมา ให้เอาใส่ตู้เก็บไว้ก่อน"

ในเรื่องนี้ก็ได้มาตระหนักรู้และเข้าใจยิ่งขึ้น ก็เมื่อตอนมาเรียนรู้ศึกษาภาคปฏิบัติกับพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ว่า เราควรล้างภาชนะแก้วใสให้สะอาดเอี่ยม เพื่อรองรับพระธรรมที่ท่านจักถ่ายทอดให้ปฏิบัติตาม ความรู้ตามตำรา,การปฏิบัติที่เราเพียรศึกษา เรื่องลี้ลับที่เราเคยประสพ ท่านผ่านมาหมดแล้ว จึงไม่สมควรแสดงความรู้ความเห็นให้เสียเวลาและโอกาสอันดีที่จักรับพระธรรมอันประเสริฐยิ่ง

การเดินทางธรรมะสัญจรเพื่อโปรดเหล่า นรธ. ให้มีกำลังใจในการปฏิบัติ ถือเป็นธรรมเนียม ความกรุณาต่อศิษย์ เป็นโอสถทิพย์ชโลมใจให้พวกเรา เปิดโอกาสให้ถามธรรมหรือเรื่องราวที่ไม่ควรเปิดเผยแก่คนทั่วไปได้

ท่านยังต้องเดินทางไปเพื่อภาวนา โปรด แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลไปยังสถานที่ต่างๆที่ผ่านและไปประสพ เช่น คน ถ้ำ ภูเขา ต้นไม้ แหล่งน้ำ ลำธาร สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ

แม้ดูจะเรียบง่าย แต่ นรธ.ทุกคนต้องมีวินัย รู้จักแยกแยะสถานการณ์ อารมณ์ กิเลส วิธีการต่อสู้หรือตั้งรับสิ่งกระทบ รู้จักศึกษา เรียนรู้ สังเกตุ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ คอยชี้แนะ ตำหนิ ยอมรับได้หากการกระทำอันใดไม่เหมาะสม (ทุกวินาทีคือการปฏิบัติ) ตลอดทั้งวิธีการปฏิบัติต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ทั้งนี้จักต้องไม่ให้กระเทือนถึงท่านและหมู่คณะ

ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านคอยสังเกตุการณ์ทั้งกิริยาภายนอก วาจา และกิเลสที่ฟูมฟักอยู่ในใจเรา ที่จักหลงไปตามสิ่งต่างๆตามกิเลส ท่านจักคอยกวนกิเลสเรา หากกระเพื่อมนิดหน่อย ท่านก็รู้...และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมในการให้ธรรม ท่านก็ถึงจะให้ ท่านรู้จักกาลอันเหมาะสม ทว่า...บางครั้งก็ให้แบบตั้งรับไม่ทัน ใครไม่เคยลอง คงไม่รู้...หึหึ...ก็เห็นโดนกันทุกราย...

ก่อนสิ้นปีนี้...ผมจะไปภูดานไหก่อนและอาจกลับก่อนแต่จักปฏิบัติธรรมข้ามปีร่วมกันครับ


ดร.นนต์:

ธรรมสัญจรตอนจบ
"พระธาตุดอยสุเทพ ศูนย์กลางพลังลึกลับ"

 

เย็นของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 ขณะที่คณะของพวกเราเดินทางผ่านมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (ที่ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นทางที่มุ่งสู่พระธาตุดอยสุเทพ ผมก็ระลึกนึกถึงเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เธอกำลังเริ่มปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกัน เมื่อได้ทักทายกันทางโทรศัพท์พอสมควร ผมก็ได้สอบถามถึงสถานที่พักซึ่งเป็นอุทยานหรือสถานที่เหมาะสมที่คณะของพวกเราจะไปพักได้ เธอจึงบอกให้ไปพักที่อุทยานที่อยู่ใกล้กับพระธาตุดอยสุเทพ ห่างกันประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร หลังจากพวกเราได้กราบสักการะพระธาตุดอยสุเทพ ดังที่ท่านสมบัติได้นำเสนอแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าสู่อุทยาน(ผมจำชื่อไม่ได้เพราะมันมืดมองไม่เห็นชื่อป้าย) เวลาประมาณเกือบสองทุ่ม เมื่อเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่ามีบ้านพักว่างอยู่ 1 หลัง เป็นหลังใหญ่ มีที่นอนอยู่สองห้อง ห้องหนึ่งแยกอยู่อีกฟากมีที่นอนสำหรับท่านเดียวหรือสองท่าน อีกห้องหนึ่งเป็นห้องใหญ่มีที่นอนอยู่แปดที่แบ่งเป็นสองฟาก ฟากหนึ่งมีเตียงสามเตียง อีกฟากหนึ่งมีเตียงห้าเตียง ซึ่งดูบังเอิญเหลือเกินคือ มีจำนวนเท่ากับคนพักพอดี เตียงสามเตียงสำหรับผู้หญิงสามคน เตียงห้าเตียงสำหรับผู้ชายห้าคน ห้องหนึ่งห้องสำหรับพ่อแม่ครูอาจารย์ และบ้านพักหลังนี้ก็ใหญ่สุดและตั้งอยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่จำนวนหลายต้น ดูแล้วช่างวิเวกวังเวงดี นอกจากนั้นยังสามารถมองไปเห็นพระธาตุดอยสุเทพเหลืองอร่ามสว่างจ้าอยู่ใกล้ๆ

วันนี้พ่อแม่ครูอาจารย์อนุญาตให้พวกเราเข้าพักในบ้านที่สะดวกสบายได้ หลังจากท่านให้พวกเราลองพักในสถานที่ทุรกันดารมาแล้ว เพราะแม้แต่การพักที่รีสอร์ทที่แม่ฮ่องสอน พวกเราก็ขอกางเต๊นท์นอนใต้ถุนบ้าน และวันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายแล้วท่านจึงได้อนุญาต และคงมีเหตุผลอื่นๆ เสมือนถูกกำหนดสถานที่พักเอาไว้แล้ว วันนี้ท่านงดแสดงธรรมเพราะเห็นว่าทุกคนเหนื่อยล้าจากการเดินทาง พวกเราเข้าที่นอนประมาณห้าทุ่ม บางคนก็นั่งภาวนาต่อ ผมเองได้นั่งภาวนาจนถึงเกือบเที่ยงคืนจึงล้มตัวลงนอน มารู้สึกตัวอีกทีราวๆตีสาม เพราะผมได้ยินเสียงพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านลุกไปเข้าห้องน้ำ และท่านได้ออกไปนั่งภาวนาตรงระเบียงข้างนอกใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ผมเองคืนนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ร่างกายและจิตใจกระปรี้กระเปร่ามีกำลังเกิดขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าง่วงนอน รู้อย่างเดียวว่าจะต้องนั่งภาวนาสมาธิ ผมจึงต้องลุกขึ้นมาภาวนาทันที ผมเองได้โน้มจิตระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ และที่ขาดไม่ได้คือ ขอโน้มจิตไปกราบสักการะพระพุทธบาทสี่รอยและพระธาตุดอยสุเทพ และขอพละกำลังบางอย่างตามวิถีจิตของผม ปรากฏว่าในค่ำคืนนี้ผมมีความสุขกับการภาวนาเป็นอย่างมาก เกิดความปีติอิ่มเอิบใจ บางครั้งก็เข้าสู่สมถะกรรมฐาน บางครั้งก็พิจารณาและวิปัสสนา บางครั้งก็ดึงและถ่ายเทพลังงานจากพระธาตุดอยสุเทพและพระพุทธบาทสี่รอยมาปรับธาตุขันธ์ในตัวเอง จวบจนเวลาประมาณตีห้า ผมจึงได้โน้มจิตอธิษฐานต่อพระธาตุดอยสุเทพและพระพุทธบาทสี่รอย เพื่อเสี่ยงทายในบุญบารมีและข้อสงสัยบางประการ เกี่ยวกับเส้นทางในการปฏิบัติธรรมของเราในภพนี้ว่า จะบำเพ็ญเพื่อการสิ้นสุดหรือจะเดินต่อไปข้างหน้า ปรากฏมีจิตผุดรู้ขึ้นมาทันทีว่า "ทศบารมี" ผมโน้มจิตพิจารณาต่อไปว่า การจะสิ้นสุดภพชาติในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆ ข้าพระพุทธเจ้าก็มีความปีติยินดีเสมอเหมือนกัน เพราะสภาวะวิมุตินั้น มันก็เป็นอันเดียวกัน จะอยู่ในยุคของพระองค์ใดก็เหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็โน้มจิตเสี่ยงทายทศบารมีของข้าพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไร...มีบางอย่างสื่อกลับมา ผมมิอาจเปิดเผยสู่สาธารณะหรือผู้ใดได้ เพราะมันยังเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากผู้พ้นแล้ว หรือมันอาจเป็นอุปาทานก็ได้ ดังนั้น ผมจึงขอเก็บไว้ในใจต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ผมรู้อย่างเดียวว่า ความปีติของผมในค่ำคืนนี้ มันมาเป็นระลอกๆ ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมได้ออกจากสมาธิในราวเกือบหกโมงเช้า เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ให้สัญญาณอยู่ข้างนอก และถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้นั่งภาวนาสมาธิยาวนานเกือบสามชั่วโมงเต็ม ทั้งที่ได้นอนแค่สามชั่วโมง และเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตลอดอาทิตย์ แต่กลับกลายเป็นว่า ร่างกายได้รับโอสถทิพย์จากการนั่งภาวนาในครั้งนี้มากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากนั้น ทุกคนออกมาฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ระเบียงข้างนอก ท่านเอ่ยขึ้นมาว่า ภูมิที่นี่ดีมาก พวกบำเพ็ญตะบะเช่น พวกฤาษีชีไพร นักพรต นักบวช ชอบมาขอพลังจากพระธาตุดอยสุเทพมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว ผมจึงมาถึงบางอ้อว่า อ๋อพลังหรือกำลังที่เราได้รับเมื่อคืนนี้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านเอ่ยต่อไปว่า อาตมาออกมานั่งตั้งแต่ตีสาม ได้รับความสงบ มีเสียงไก่ป่าและสัตว์ต่างๆเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งที่ออกธุดงค์ไปตามถ้ำตามป่า ภูมิเจ้าที่ เทวดาก็ดีมาก มีพวกโลกทิพย์เข้ามาหามาก ประมาณตีห้า (ช่วงเวลาเดียวกันกับผมอธิษฐานจิต) พญานาคเจ็ดเศียรตัวใหญ่สีทองอร่ามเลื้อยมาหาตั้งแต่ตีนเขาตามช่องทางขึ้นมาพร้อมบริวาร องค์สักกะเทวราชก็มา และมีวิมานสีขาวสว่างไสวลอยอยู่เหนือพระธาตุดอยสุเทพอยู่นาน เป็นวิมานของพระศรีอาริยเมตไตย โยมสงสัยไหมว่าทำไมพวกเราถึงได้มาพักกันที่นี่ หลังจากพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูดจบลง พวกเราหันไปมองหน้ากันด้วยความปีติ ไม่มีความสงสัยใดอีกแล้ว

ต่อมาท่านได้แสดงธรรมโปรดพวกเราแบบทางการเป็นครั้งสุดท้าย รวมทั้งเรื่องทศบารมีที่ผมเล่าให้ท่านฟังด้วย และสิ่งหนึ่งที่ออกมาจากหัวจิตหัวใจของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่มีต่อบรรดาลูกศิษย์ที่ติดตามท่านไปในครั้งนี้ก็คือ "ขออนุโมทนากับโยมทุกคนเด้อ" ในความหมายของท่านก็คือ ทุกคนได้รับพัฒนาการทั้งสภาวะทางจิตใจและภูมิธรรมสูงขึ้นจากคราวที่แล้ว จึงสร้างความปีติบังเกิดขึ้นกับทุกคนแบบอัตโนมัติ น้ำตาหลั่งไหลออกมาทุกคนโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนคลานไปกราบแทบเท้าของท่าน ท่านเมตตาเอื้อมมือมาแตะหลังทุกคน ท่านคงรู้จิตของทุกคนว่าคงไม่อยากจากกันในวันนี้ ท่านจึงได้เอ่ยกับผมว่า ไปลงพิษณุโลกเด้อโยมด็อกเตอร์ (ซึ่งตอนแรกผมกับ คุณสมบัติ และคุณเก๋ ต้องแยกกับท่านที่เชียงใหม่) ผมตอบท่านทันทีโดยไม่ลังเลว่า "ข้าน้อย(ขอรับ)"

ท่านทั้งหลาย เหตุการต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางที่ร่วมเดินทางธรรมสัญจรกับพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรมในครั้งนี้ มันมีมากมายเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรให้ทุกคนได้ซาบซึ้งได้ บางอย่างมันก็ควรอยู่ในหัวจิตหัวใจของแต่ละคน บางอย่างมันล้นออกมา ก็จำเป็นจักต้องสื่อออกมาบอกเล่าสู่กันฟัง เมื่อท่านได้ติดตามอ่านจบลงแล้ว หากมีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ก็ขอให้อนุโมทนา แต่หากสิ่งใดเกินความจำเป็นที่ท่านจะพึงได้รับหรือเกินเลยไปบ้าง ก็โปรดวางเฉยต่อสิ่งนั้นเถิด จงคิดว่าเป็นวิทยาทานที่ผู้เล่าพยายามสื่อออกมาจากสติปัญญาที่มีอยู่ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์

และสุดท้าย ผมและเหล่านักรบธรรมขอน้อมอัญเชิญคุณของพระรัตนตรัยและความดีทั้งหลาย ได้โน้มนำผู้ที่เข้ามาอ่านเจอข้อความทั้งหลายเหล่านี้ จงมีแต่ความสุขความเจริญ มีความสว่างไสวทั้งทางโลกและทางธรรมจนกว่าจะเข้าพระนิพพานกันทุกท่านเทอญ

ผมจึงขอจบบทความ "ธรรมสัญจรครั้งที่สอง" แต่เพียงเท่านี้
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
27 พฤศจิกายน 2554


ภูเบศวร์:
อ่านเรื่องราวธรรมสัญจรตั้งแต่แรกจนจบอย่างน่าติดตาม เพราะเป็นความเป็นไปของพี่น้อง เพื่อน นรธ.ที่เราเป็นส่วนหนึ่ง และปรารถนาจะได้รับฟังการถ่ายทอดธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เพื่อน นรธ.ได้รับ
อ่านด้วยความปลื้มปิติและยินดีกับทุกท่านที่ได้มีโอกาสร่วมในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งยังได้ปฏิบัติธรรมร่วมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้เป็นศูนย์กลางพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ทุกท่านได้รับประสบการณ์ตรง ฝึกฝนและพัฒนาจิตเหมือนได้เข้าคอร์สติวเข้ม จึงก่อให้เกิดผลในภูมิจิตภูมิธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไป
ขออนุโมทนากับสิ่งทั้งหลายที่ทุกท่านได้กระทำ ด้วยความเพียรพยายามและแบ่งปันเล่าสู่กันฟัง ถ่ายทอดให้เสมือนได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้น
ผมเป็นคนหนึ่งที่ขอน้อมนำไปเป็นสิ่งระลึกในการปฏิบัติ ขอขอบพระคุณ ดร.นนท์ ท่านสมบัติ และทุกท่านที่เกี่ยวข้องมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ หลายท่านที่ได้อ่าน คงได้รับประโยชน์เช่นเดียวกันกับผมเช่นกัน
ด้วยจิตคารวะ
ภูเบศวร์